สรุปดราม่า 'แสนปิติ' ฟาด 'ก้าวไกล' ด้อมส้มทัวร์ลงสนั่นผุด #แสนปิติ

กลายเป็นดราม่าร้อนแรงในโลกออนไลน์เมื่อ แสนดี หรือ "แสนปิติ" สิทธิพันธุ์ ซึ่งเป็นลูกชายของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครคนล่าสุด ได้ออกมาวิจารณ์พรรค "ก้าวไกล" จนโดนทัวร์ด้อมส้มถล่มยับ

 

 

 

 

วันนี้ทาง คมชัดลึก มาสรุปดราม่าเดือดทางการเมืองระหว่าง "แสนปิติ" กับด้อมส้มแห่ง "ก้าวไกล" ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องร้อนแรงข้ามวันข้ามคืน จนล่าสุดผู้คนต่างติด #แสนปิติ ในทวิตเตอร์กันมากมาย และดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่จบลงง่ายๆ

 

ดราม่า "แสนปิติ" ลูกชัชชาติ โพสต์ฟาด "ก้าวไกล" ยับผ่านโซเชียล

 

1. เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2566 "แสนปิติ" ลูกชัชชาติ โพสต์ผ่านไอจีสตอรี่วิจารณ์ "ก้าวไกล" ว่า "ถึงเวลาแล้วที่ก้าวไกลต้องให้เพื่อไทยนำทีมตั้งรัฐบาล เพราะเป็นพรรคที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมาตลอด 20 ปี"

2. ไทยมีศักยภาพเป็นเสือตัวที่ 5 ในเอเชีย แต่จะเป็นไม่ได้ถ้าเอาแต่บ่นเรื่องปัญหาสังคมและกฎหมาย ต้องโฟกัสด้านเศรษฐกิจ

3. เพื่อไทย เป็นพรรคของประชาชน ก้าวไกล เป็นพรรคของพวกคลั่งการตื่นรู้และพวกล่าแม่มดที่ไล่แบนคนอื่น

4. ได้โพสต์รูปสูตรที่ เพื่อไทย ไปจับกับภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ชาติไทยพัฒนา แล้วถามว่า "อยากให้เกิดแบบนี้?"

5. "แสนปิติ" ได้กล่าวต่อว่า "การแก้ ม.272 ไม่มีวันผ่าน พิธาจะไม่มีวันได้เป็นนายกฯ จะส่งไปแค่ไหนก็ไม่มีวันชนะ ก้าวไกลมีเสียง ส.ส. มากกว่าเพื่อไทยแค่ 10 คน ควรให้เพื่อไทยนำได้แล้ว ส.ว. และคนทั่วไปเขาไม่สนใจการประท้วง แล้วเลือกตั้งครั้งหน้าพยายามกวาดเสียงให้ได้ 65% เหมือนไทยรักไทยปี 2005 ถึงจะเปลี่ยนท่าทีได้ ไม่มีใครอยากให้ก้าวไกลขึ้นกุมบังเหียน เว้นแต่พวกวัยรุ่นก้าวร้าวกับเด็กเอาแต่ใจ

6. "แสนปิติ" พูดทิ้งท้ายว่า "5 ปีที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลมีผลงานอะไรบ้างนอกจากโดนคดี อดีตแกนนำพรรคทั้ง 3 คน(ธนาธร,พรรณิการ์,ปิยะบุตร) ก็โดนแบนไป 10 ปี แล้วเดี๋ยวพิธาก็อาจจะโดน เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับความเห็นของผมบ้าง? มาแลกเปลี่ยนกันได้เลยครับ"

 

 

 

ด้อมส้ม "ก้าวไกล" ถล่ม "แสนปิติ" ผุด #แสนปิติ ขึ้นเทรนด์ทวิตอันดับ 1

 

1. หลังจากนั้นเพียงไม่นาน "แสนปิติ" ก็เจอรถทัวร์ด้อมส้ม "ก้าวไกล" ถล่มอย่างรุนแรงจน จนทำให้ #แสนปิติ #แสนดี ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 และ 2 ในทวิตเตอร์ ทันที

2. "แสนปิติ" ได้โพสต์คลิปวิดีโอลงในสตอรี่ โดยระบุว่า "เป็นเรื่องไม่แฟร์ ตนมีสิทธิเสรีภาพที่จะพูด แต่กลับได้รับข้อความด้านลบ และระบุว่าเสียใจ" ก่อนจะลบข้อความดังกล่าวไป แต่โลกออนไลน์ได้มีการนำคลิปวิดีโอดังกล่าวมานำเสนอต่อเป็นจำนวนมาก

 

3. ต่อมา "แสนปิติ" ได้ออกมาขอโทษในเรื่องดังกล่าว ผ่านทางอินสตราแกรม กล่าวว่า "ถึงใครก็ตามที่เขียนเขียนคอมเมนต์ด่าทอ มันเจ็บปวดมากๆ คุณรู้ไหม พวกคุณไม่มีความปราณีเลยซักนิด มันไม่ยุติธรรมเลย ผมแค่ต้องการแสดงความคิดเห็นบางอย่าง เป็นเสรีภาพในการแสดงออก แล้วคุณก็ถล่มคอมเม้นต์แย่ๆ ทำไมเราไม่อยู่ร่วมกันดีๆ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้" และหลังจากนั้นก็ได้ปิดอินสตราแกรมไป

4. ทั้งนี้ยังได้โพสต์แสดงความเสียใจต่อการกระทำดังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้ง พร้อมอธิบายว่าเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น ไม่ได้แสดงความเกลียดชังต่อฝ่ายใดหรือต่อใคร พร้อมขอโทษอย่างจริงใจ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกลำบากใจ ยืนยันว่าหลังจากนี้ยินดีรับฟังความคิดเห็น และเรียนรู้จากผู้อื่น

 

5. ล่าสุดชาวเน็ตยังคงวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง "แสนปิติ" กันอย่างร้อนแรง มีคนดังหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

 

 

"ชัชชาติ" ให้สัมภาษณ์เรื่องโพสต์ของ "แสนปิติ" 

 

1. ไม่มีอินสตาแกรมเลยไม่รู้ว่า "แสนปิติ" โพสต์จนประมาณ 1 ทุ่ม มีคนไลน์มาบอกว่าแสนดีโพสต์แรงและส่งมาให้ดู

2. พอเห็นโพสต์ก็ตกใจและไลน์หาลูก บอกว่าให้ใจเย็นๆ อย่าโพสต์เรื่องการเมืองมาก เราแสดงความคิดเห็นได้แต่ต้องใช้คำพูดที่เหมาะสม ไม่ใช่ไปว่าคนอื่นและถ้ารู้สึกผิดก็ควรขอโทษ

3. ไม่บังคับให้ลูกขอโทษ แต่บอกให้เขาตัดสินใจเอง เพราะอยากให้มันออกมาจากใจ และดีใจที่เห็นเขาโพสต์ขอโทษ หลังขอโทษแสนดีบอกว่ารู้สึกดีขึ้น เมื่อเช้าเขามาบอกว่าเสียใจในสิ่งที่โพสต์ไป และช่วงนี้จะหยุดโพสต์

4. ไม่ได้เห็นด้วยกับทุกอย่างที่ลูกโพสต์ และบางอย่างลูกก็ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม 

5. คำพูดเมื่อพูดออกไปแล้วมันเป็นนายเรา การที่แสนดีโดนต่อว่ากลับ มันก็เป็นกรรมจากการกระทำ เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ และเรียนรู้ว่าถ้าเราไม่รอบคอบมันจะมีผลกระทบกลับมา

6. ไม่มีข้ออ้างสำหรับเรื่องนี้ จะอ้างว่าเด็กก็ไม่ได้ เพราะไม่เด็กแล้ว อายุ 23 เป็นผู้ใหญ่แล้ว จะอ้างว่าอยู่ต่างประเทศนานก็ไม่ได้ เพราะไปอยู่ต่างประเทศแค่ 3 ปี อยู่เมืองไทยเยอะกว่า

7. ผมขอโทษแทนลูกไม่ได้ แต่จะขอโทษในส่วนที่ผมบกพร่องไป "ผมเองก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้คุยกับลูกมากพอ ต่อไปจะคุยและใช้เวลากับลูกให้มากขึ้น เรื่องนี้เป็นบทเรียนสำคัญของทั้งพ่อทั้งลูก"