ไลฟ์สไตล์

เกิดแต่กรรม  “ยันตระ” รอด  แต่ “เณรคำ” ไม่รอด?

เกิดแต่กรรม “ยันตระ” รอด แต่ “เณรคำ” ไม่รอด?

19 ก.ค. 2560

เณรคำ ก็แค่ “คนเคยเจอ” เคสความผิดของอาตมา มันคนละม้วนกันเลย อย่ามาเทียบกัน! อดีตพระยันตระ แกว่ามางี้? ว่าแต่มันต่างกันยังไงน้า??

               ข่าวคราวการนำตัว “หลวงปู่เณรคำ” กลับไทย ทำให้คนไทยหลายคนต้องปรบมือให้กับทางการ ที่สามารถตามบุคคลสำคัญคนนี้กลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้

               ตรงกันข้าม กับข่าวของอดีตพระอีกรูป ที่คนไทยต้องส่ายหัว

               ก็ “อดีตพระยันตระ” หรือ วินัย ละอองสุวรรณ อดีตพระที่คนไทยในยุคก่อนใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กรู้จักกันดี จากข่าวที่สะเทือนวงการพุทธศาสนา สั่นคลอนแรงศรัทธาของชาวพุทธไทยไปหลายดีกรี

               ปรากฏว่า เวลานี้คดีของเขาได้หมดอายุความมาสักพักแล้ว !! 

               หลังผ่านไปกว่า 20 ปี ! ทำให้อดีตพระรูปนี้ สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสรเสรี แถมเคยกลับเข้าไทยมาแล้วช่วงปี 2557 และ 2559 ! ซึ่งปีแรกก็คือปีที่คดีของเขาหมดอายุความลงแล้วนั่นเอง

               ถามว่าเขาทำอะไรไว้ ทวนความจำให้คนยุคโซเชียลได้รับรู้อีกครั้ง คือในขณะที่เป็น “พระยันตระ อมโรภิกขุ” หรือ “พระวินัย อมโร” พระดังที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วประเทศ เกิดมาเจอทีเด็ด ถูกแฉว่ามีพฤติการณ์ไม่เหมาะสม ด้วยการล่อลวงสีกาไปเสพเมถุนมากหน้าหลายตา

               แต่ที่เด็ดจนดิ้นไม่หลุดคือ รายที่บอกว่าตนเองเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา จนให้กำเนิดลูกสาว ซึ่งรายนี้มีเทปสนทนาเป็นหลักฐานมัดตัว

               ที่เหลือ ก็ยังมีการร้องเรียนออกมาอีกมากมาย ว่าไม่ใช่รายเดียวนี้ ที่พระยันตระมีความเกี่ยวข้องในทำนองดังกล่าวด้วย หากแต่มากมายนับไม่ถ้วนทั้งไทยและเทศ

               ที่สุด เป็นอันว่าต้องโกยสิโยม !!

               โดยตอนนั้น ราวปี 2537 เมื่ออดีตพระยันตระคิดสะระตะแล้วว่า งานนี้อ่วม เพราะถูกฟ้องร้องหลายข้อหา รวมทั้งถูกตั้งอธิกรณ์ (ข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรง) ว่าล่วงละเมิดเมถุนธรรม ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ตามพระธรรมวินัย

               ซึ่ง มหาเถรสมาคมได้พิจารณาอธิกรณ์ดังกล่าว แล้วปรับให้อดีตพระยันตระเป็นปาราชิก ไม่สามารถดำรงตนในฐานะพระภิกษุได้อีกต่อไป

               จะว่าไปก็ถือเป็นรุ่นพี่ของพระธัมมชโยที่เจอ “กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538)” นั่นแหละ คือ โดนคณะปกครองสงฆ์ใช้อำนาจวินิจฉัยให้สละสมณเพศได้ในทันที หรือที่เรียกว่า “สึกกลางอากาศ” แม้ไม่ได้ตัวพระที่ทำผิดมาก็ตาม

               แต่เวลานั้น อดีตพระยันตระไม่ยอมรับมติมหาเถรสมาคมดังกล่าว หันไปนุ่งห่มผ้าที่คล้ายจีวรย้อมเป็นสีเขียวเข้ม หันหลังให้กับบ้านเกิด ระเห็จออกนอกประเทศไทยในที่สุด !

               พอมาวันนี้ วันที่ “วิรพล สุขผล” หรือ อดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรือ “เณรคำ” อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ กำลังจะต้องหันหน้าเข้าประเทศ เพื่อมาเจอกับความจริงทางกฎหมาย หลังศาลแคลิฟอร์เนีย สั่งให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีอาญาในไทย

               ทำให้หลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า อ้าว! ทำไมกรณีของ “พระยันตระ” เขาถึงสามารถอยู่ลั้นลาในต่างแดนได้โดยไม่มีใครทำอะไร แถมยังเดินทางไปทั่วเกือบครบสามจบรอบโลก

               และทั้งๆ ที่รู้หลักแหล่ง ว่าเขานั้นไปตั้งสำนักวัดป่าสุญญตาราม ที่เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แต่ก็ไม่เห็นมีใครจากทางการไทย ไปทักทาย เซย์ไฮว่าทำไมไม่กลับบ้าน

               คำตอบมันอยู่ตรงที่ว่า พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว อดีตพระยันตระ มีช่องทางให้สู้คดีได้ และเขาก็สู้ จนศาลสหรัฐให้สถานภาพลี้ภัยทางการเมืองแก่เขาตั้งแต่ปี 2540

               โดยเวลานั้น ผู้พิพากษาสหรัฐอเมริกาขณะนั้น ถึงกับระบุว่า พระยันตระนั้นต้องเจอกับ “ขบวนการกำจัด กวาดล้าง” มิใช่เผชิญกับ “การดำเนินคดีทางอาญา"

               พูดง่ายๆ ว่าทางเจ้าบ้านที่คนของเราไปขออาศัย เขาเชื่อสนิทใจว่าโดนกลั่นแกล้งใส่ร้าย จึงให้สถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองแก่เขา สามารถหลบหนีคดีความอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้เรื่อยๆ โดยที่ทางการไทยทำอะไรไม่ได้

               แตกต่างจากเคสของสมีคำ ที่นอกจากจะเจอคดีพรากผู้เยาว์แล้ว ก็ยังมีข้อกล่าวหาพัวพันกับยาเสพติด รวมถึงการฟอกเงิน และถูกอายัดบัญชีเงินฝากจำนวนมาก ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ไทยดำเนินการผลักดันกลับได้ง่ายกว่านั่นเอง

               ถ้าใครตามข่าว จะพบว่าที่จริงวัดของอดีตพระยันตระ ที่เมืองเอสคอนดิโด กับเมืองเลคเอลซินอร์ ซึ่งอดีตพระเณรคำหนีไปอาศัยนั้น อยู่ห่างกันไม่ถึง 100 กิโล (ผู้จัดการออนไลน์ 17 กรกฎาคม 2556) ก็น่าที่จะมีการพบปะ พูดคุย ปรึกษา ชี้ช่อง ชี้ทางให้ได้รู้เคล็ดการอยู่ยังไงให้เป็นกันบ้าง

               แต่เปล่าเลย เพราะจากข้อมูลของสยามทาวน์ยูเอส ได้เคยนำเสนอบทสัมภาษณ์ “ยันตระ” ช่วงปี 2558 กับประเด็นที่เจ้าตัว ถูกวางเป็น “โมเดล” ของอดีตพระเณรคำ (เพราะวีรกรรมเดียวกัน)

               แต่อดีตพระยันตระ กลับโบกมือบ๊ายบาย ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกรณีสมีรุ่นน้องคนนี้ แปลง่ายๆ ว่าจะไม่ขอยุ่งด้วย !!

               แถมยังอ้างว่า ปกติไม่ค่อยอยู่ที่วัด แต่ไปอยู่ที่ป่าเมืองเครสเซนท์ ซิตี้ ใกล้ป่าสงวนเรดวู้ด ซึ่งอยู่ตอนเหนือสุดของแคลิฟอร์เนีย ติดพรมแดนรัฐโอเรกอน จะเดินทางมาที่วัดสุญญตาราม ซึ่งอยู่ห่างกันกว่า 700 ไมล์ เฉพาะเวลาที่วัดมีงานสำคัญเท่านั้น ! และทุกวันนี้ ก็ทำตัวดีแต่ในทางธรรม แม้จะไม่ปลงผมก็ตาม !

               ส่วนเรื่องเณรคำ ก็แค่ “คนเคยเจอ” โดยรุ่นน้องเคยมาหาตามประสาแฟนคลับ ซึ่งเป็นช่วงก่อนมีข่าว แต่หลังเกิดเรื่องก็มีมาหาอีกรอบ แต่ไม่เจอกัน ตนเองนั้นทราบแต่ว่ามีเรื่องมาปรึกษา

               ที่เหลือก็บอกเล่าแต่อนาคตของตนเองแบบสวยงาม หลังกลับประเทศไทยในวันที่คดีหมดอายุความ

               แน่นอน การปฏิเสธนี้ ก็เพื่อกลบกระแสข่าวอื้ออึงก่อนหน้านั้นว่า เณรคำหนีมากบดานกับเขา ด้วยมีความสนิทชิดเชื้อกันดี

               ที่มากกว่านั้นคือ เพราะเจ้าตัวรู้ดีว่า เคสความผิดของตนนั้น มันคนละม้วนกันเลยกับของสมีคำรุ่นน้อง ! อย่ามาเทียบกัน !