การ"นอนกรน" อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของ"อันตราย"ที่ซ่อนอยู่โดยที่คุณไม่รู้ตัว
"เสียงกรน" คือเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของ"ลิ้นไก่"และ"เพดานอ่อน" ขณะนอนหลับ
ในเวลาที่เราหลับสนิทนั้นเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในช่องคอโดยเฉพาะ"ลิ้นไก่"และ"เพดานอ่อน"จะคลายตัว บางคนคลายตัวมากจนย้อยลงมาอุดกั้นทางเดินหายใจบริเวณลำคอทำให้ลมหายใจเข้าไม่สามารถไหลสู่"หลอดลม"และ"ปอด"ได้โดยสะดวก
กระแสลมหายใจที่ถูกปิดกั้นไหลผ่านในลำคอไปกระทบลิ้นไก่และเพดานอ่อน จนเกิดการสั่นมากกว่าปกติ ผลก็คือมี"เสียงกรน"ตามมา
ยิ่งการอุดกั้นมากเพียงใด"เสียงกรน"ก็จะดังมากขึ้นเท่านั้น จนที่สุดการปิดกั้นนี้มากถึงอุดตันทางเดินหายใจจนหมด ทำให้อากาศไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยสมบูรณ์
สาเหตุของการ"นอนกรน"
-อายุที่มากขึ้น กล้ามเนื้อต่าง ๆ จะหย่อนยานลง รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอ ทำให้ลิ้นไก่และลิ้นตกไปปิดทางเดินหายใจได้ง่าย
-"เพศชาย"มีโอกาส"นอนกรน"มากกว่า"เพศหญิง"เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนแต่เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน"เพศหญิง"มีโอกาสเป็นเท่ากับ"ผู้ชาย"
-"โรคอ้วน" มีไขมันส่วนเกินไปสะสมในช่วงคอ เบียดช่องหายใจให้แคบลง
-ดื่มสุราหรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับซึ่งมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลในการลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อที่ขยายช่องหายใจ
-การสูบบุหรี่ ทำให้ประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจแย่ลง ทำให้ช่องคอระคายเคือง มีการหนาบวมของเนื้อเยื่อ ทางเดินหายใจจึงตีบแคบลง เกิดการอุดตันนอนกรนได้ง่าย
-อาการคัดจมูกเรื้อรัง เช่น มีผนังกั้นจมูกคด เยื่อบุจมูกอักเสบเรื้อรังจากโรคภูมิแพ้หรือเนื้องอกในจมูก
-กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคนอนกรนมากกว่าคนปกติ
-ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้าผิดปกติ เช่น คางเล็ก คางร่นไปด้านหลัง ลักษณะคอยาว กระดูกโหนกแก้มแบน
-โรคที่มีความผิดปกติด้านฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroid) ทำให้เกิดทางเดินหายใจอุดตันได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
ชนิดความผิดปกติในการ"นอนกรน"
-ชนิดที่ไม่เป็นอันตราย (simple snoring) คนที่นอนกรนชนิดนี้มักจะมีเสียงกรนสม่ำเสมอ ไม่มีหายใจสะดุด หรือเสียงฮุบอากาศ "เสียงกรน"มักดังมากโดยเฉพาะเวลานอนหงาย ความดังของ"เสียงกรน"จึงไม่ได้บอกว่าอันตรายหรือไม่
เนื่องจาก"การกรน"ชนิดนี้ไม่มีภาวะขาดอากาศร่วมด้วย จึงยังไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพมากนัก เว้นแต่ทำให้รบกวนคู่นอนได้
-ชนิดที่เป็นอันตราย (snoring with obstructive sleep apnea) คนที่"นอนกรน" ภาวะนี้มักจะ"กรนเสียงดัง"และมีอาการคล้ายสำลักหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก ตื่นขึ้นมาด้วยอาการอ่อนเพลียไม่สดชื่นหรือปวดศีรษะและต้องการนอนต่อทั้งที่ใช้เวลานอน 7- 8 ชม.แล้ว
กลางวันบางคนอาจมีอาการง่วงนอน หลงลืม ไม่มีสมาธิ หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห รวมทั้งมีความรู้สึกทางเพศลดลงซึ่งการ"นอนกรน"ชนิดนี้อาจนําไปสู่การหยุดหายใจขณะหลับได้
โรคนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ Obstructive Sleep Apnea (OSA)
โรคนอนกรนและหยุดหายใจเกิดขึ้นเฉพาะขณะหลับเท่านั้นเพราะสมองกําลังพักผ่อนทําให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ทํางานน้อยลง ท่อทางเดินหายใจส่วนต้นก็จะฟีบเข้าหากันเหมือนการดูดหลอดกาแฟทําให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ
เนื่องจากขาดอากาศหายใจจึงต้องพยายามหายใจแรงขึ้นเพื่อเปิดทางเดินหายใจนี้เมื่อสมองถูกกระตุ้นให้ตื่นบ่อย ๆ ทําให้หลับไม่ลึกและรู้สึกง่วงนอนตอนกลางวัน เพลีย และไม่สดชื่นเหมือนพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบอื่น ๆ ตามมา เช่น
-ประสิทธิภาพการทํางานลดลง
-ความจําไม่ดี หงุดหงิดง่าย ง่วง หลับในและหากทิ้งไว้ในระยะยาวโดยไม่ได้รักษาอาจนําไปสู่ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตและโรคซึมเศร้า
สำหรับแนวทางการดูแลรักษา"การนอนกรน"เบื้องต้น
-ปรับเปลี่ยนท่านอนให้ศีรษะอยู่สูงกว่าลำตัว
-รักษาน้ำหนักให้ได้ตามมาตรฐาน
-งดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
-ปรับการนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
-หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้ง่วงนอน
โรคหยุดหายใจขณะหลับ
คาดว่าพบในประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 ของผู้ชายหรือร้อยละ 2 ของผู้หญิงวัยทำงาน และพบได้มากกว่าในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังพบได้ประมาณร้อยละ 1 ของเด็กก่อนวัยเรียนและช่วงประถม
อาการที่บ่งบอกว่าอาจเป็น"โรคหยุดหายใจ"ขณะหลับ
-"นอนกรนดังมาก"เป็นประจำ จนเกิดความรำคาญต่อผู้ที่นอนร่วมด้วย
-รู้สึกนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ตื่นบ่อย มีอาการไม่สดชื่น
-คอแห้ง
-ปวดศีรษะเป็นประจำตอนเช้า
-ง่วงนอนมากผิดปกติในระหว่างวัน
-หงุดหงิดง่าย อารมณ์ไม่ดี
-มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
-มีผู้อื่นสังเกตเห็นว่าหายใจไม่สม่ำเสมอและมี"เสียงกรนดัง"แต่หยุดเป็นช่วงๆ
ในเด็ก หากบุตรหลานของคุณนอนกรนดังเป็นประจำหรือกระสับกระส่าย หายใจลำบาก คัดจมูกเป็นประจำต้องอ้าปากหายใจบ่อย ๆ อาจมีปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำหรือมีพฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ผลการเรียนแย่ลง เติบโตช้ากว่าวัย ลักษณะเหล่านี้จึงสงสัยได้ว่าเด็กอาจเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ
การตรวจวินิจฉัย
หากสงสัยว่ามีปัญหาดังกล่าว ควรมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมกับคู่สมรสหรือผู้ที่สังเกตเห็นอาการของคุณขณะนอนเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม โดยมีขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยดังนี้
1. คุณจะได้รับแบบสอบถามประวัติที่เกี่ยวกับสุขภาพการนอนของคุณ หลังจากนั้นแพทย์จะทบทวนและซักถามอาการต่าง ๆ รวมถึงปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
2.คุณจะได้รับการตรวจร่างกาย ตั้งแต่การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดชีพจร และความดันโลหิต วัดเส้นรอบวงคอหรือรอบเอว
หลังจากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกายบริเวณศีรษะ ใบหน้า คอ จมูก และช่องปากอย่างละเอียดเพื่อประเมินลักษณะทางเดินหายใจส่วนต้น รวมถึงตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ปอด หัวใจ หรือระบบอื่น ๆ ในส่วนที่สำคัญและเกี่ยวข้อง
3. ในหลายกรณีอาจต้องตรวจทางจมูกและลำคอด้วยการส่องกล้อง (Endoscopy) และส่งเอกซเรย์ (X-ray) บริเวณศีรษะ ลำคอ หรือการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น การเจาะเลือด การตรวจปัสสาวะหรือการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอื่น ๆ ตามความจำเป็น
4. คุณอาจได้รับการแนะนำให้ตรวจสุขภาพขณะนอนหลับด้วยเครื่อง Polysomnography หรือเรียกง่ายๆ ว่า Sleep Lab Study ซึ่งเป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ รอบตา ใบหน้า และบริเวณขา (EOG and EMG) วัดระดับการหายใจผ่านทางจมูก วัดรอบอกและรอบท้อง
รวมถึงการวัดระดับออกซิเจนในเลือด วัดระดับเสียงกรนด้วยไมโครโฟนขนาดเล็ก โดยจะบันทึกภาพวิดีโอไว้เพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับต่อไป
แนวทางการรักษา
แนวทางการรักษามีหลายวิธีขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงรวมถึงสาเหตุหรือปัจจัยที่พบ ซึ่งแพทย์จะให้คำอธิบายหลังจากตรวจยืนยันในข้างต้นแล้วและพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับแต่ละราย
1.การดูแลและปฏิบัติตัวเบื้องต้น ได้แก่ การปรับสุขอนามัยการนอน เช่น นอนพักผ่อนให้พอเพียง เข้านอนและตื่นนอนอย่างตรงเวลาสม่ำเสมอ งดเว้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนนอน หลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับและยาที่มีฤทธิ์กดประสาทหรือคลายกล้ามเนื้อ งดเว้นดื่มชา กาแฟ และหยุดสูบบุหรี่ในช่วงบ่าย
ที่สำคัญคือ ในรายที่อ้วนหรือน้ำหนักเกินต้องลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. การรักษาปัจจัยเสี่ยงหรือโรคร่วมที่อาจเป็นสาเหตุ เช่น โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ เนื้องอกบริเวณทางเดินหายใจ โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อหรืออื่นๆ ซึ่งควรได้รับการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป
3. การรักษาจำเพาะ แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
3.1 การรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก โดยเครื่องมือที่ “ซีแพ็บ” (CPAP) มีหลักการ คือ เครื่องจะเป่าลมผ่านทางช่องจมูกและหรือทางปากเพื่อให้มีความดันลมแรงพอที่จะเปิดช่องคอซึ่งเป็นทางเดินหายใจส่วนต้นได้ตลอดเวลาขณะนอนหลับ
ในกลุ่มนี้มีหลายแบบ อาจเป็นแบบธรรมดา แบบความดันลม 2 ระดับ (BiPAP) หรือแบบอัตโนมัติ (Auto-PAP) การรักษาด้วยวิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง หากใช้เครื่องได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องตลอดทุกคืน แต่ละแบบมีค่าใช้จ่าย ข้อดี ข้อเสียหรือข้อจำกัดแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทดลองใช้และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
3.2 การใช้เครื่องมือในช่องปาก หลักการ คือ ใส่เครื่องมือลักษณะคล้ายฟันยางหรือเครื่องดัดฟันเพื่อป้องกันลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ วิธีนี้ได้ผลดีในรายที่เป็นไม่รุนแรง ปัจจุบันมีหลายชนิด มีข้อดีข้อเสีย หรือข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน
3.3 การรักษาด้วยการผ่าตัด กล่าวโดยรวมแล้วการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดแต่ละวิธีได้ผลดีไม่เท่ากันและอาจมีข้อดีข้อเสียที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง ปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดหลายวิธี ซึ่งมีข้อดี ข้อเสียหรือความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น
- การผ่าตัดจมูก เช่น ใช้คลื่นวิทยุเพื่อลดขนาดของเยื่อบุเทอร์บิเนตอันล่างหรือผ่าตัดเพื่อดัดผนังกั้นช่องจมูกในรายที่คดมาก รวมไปถึงการผ่าตัดริดสีดวงจมูกหรือไซนัสอักเสบ เฉพาะในรายที่มีปัญหาดังกล่าว
- การผ่าตัดต่อมทอนซิล และหรือต่อมอะดีนอยด์ วิธีนี้มีประโยชน์กับผู้ที่มีต่อมทอนซิลโตมาก หรือในเด็กที่มีต่อมอะดีนอยด์และทอนซิลโต
- การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน ปัจจุบันการผ่าตัดแบบนี้มีหลายวิธี และไม่จำเป็นต้องตัดลิ้นไก่ออกทั้งหมด หลักการคือ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของลิ้นไก่และขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเพดานหย่อนหรือลิ้นไก่ยาวกว่าปกติ
- การผ่าตัดบริเวณโคนลิ้น เช่น การใช้คลื่นความถี่วิทยุเพื่อลดขนาดของลิ้น หรือการผ่าตัดดึงขากรรไกรล่างบางส่วนมาด้านหน้า วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาอุดกั้นบริเวณโคนลิ้น
- การผ่าตัดเลื่อนกรามและขากรรไกรทั้งบนล่างมาด้านหน้า เป็นการผ่าตัดที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบันเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงวิธีนี้เป็นการผ่าตัดค่อนข้างใหญ่แพทย์และทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำแนะนำกับผู้ป่วยโดยตรง การเจาะคอเป็นการรักษาที่ได้ผลเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยต้องมีรูด้านหน้าลำคอและใส่ท่อเพื่อการหายใจ จึงมักเป็นทางเลือกสุดท้ายในกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
- การลดเสียงกรนด้วยเทคโนโลยีใหม่และไม่ต้องดมยาสลบ กลุ่มการรักษาด้วยวิธีนี้มีหลายวิธีมาก ได้แก่ การใช้คลื่นความถี่วิทยุบริเวณเพดานอ่อน ,การฝังไหมพิลล่า, การยิงเลเซอร์เพดานอ่อน
แต่ละอย่างเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สามารถทำได้ง่ายใช้เวลาเพียง 10 - 15 นาทีหลังการฉีดยาชาเฉพาะที่และไม่ต้องนอนโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม กลุ่มการรักษานี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีภาวะหยุดหายใจหรือผู้ที่มีอาการรุนแรงน้อยเท่านั้น
การนอนกรน อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของอันตรายที่ซ่อนอยู่โดยที่คุณไม่รู้ตัว คือ โรคหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งสามารถรักษาได้และช่วยลดปัญหาหรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ที่อาจตามมาในภายหลังได้ไม่มากก็น้อย
ดังนั้นหากคุณหรือคู่สมรสและบุตรหลานของคุณนอนกรนดังมากเป็นประจำ คุณอาจพิจารณาเข้ามาพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ และการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง