"ภาวะหมดไฟ" โรค หรือ อารมณ์ เช็คสัญญาณเตือน งานแบบไหน เสี่ยง หมดไฟ มากที่สุด
"ภาวะหมดไฟ" หมดไฟทำงาน Burnout โรค หรือ อารมณ์ เช็คสัญญาณเตือน งาน แบบไหน เสี่ยง หมดไฟ มากที่สุด สุดท้าย กลายเป็น โรคซึมเศร้า ได้หรือไม่
จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต ที่พบว่า สถานการณ์การระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ยาวนานกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะ หมอ
มี "ภาวะหมดไฟ" (Burn-out) เพิ่มสูงขึ้น ในปี พ.ศ. 2565 ค่าเฉลี่ย 3 ไตรมาส อยู่ที่ร้อยละ 12.2 หรือ 6 เท่า โดยสาเหตุหลัก มาจากภาระความรับผิดชอบ ในภาวะวิกฤตของผู้ป่วย และจำนวนชั่วโมงการทำงานที่ต่อเนื่องยาวนาน แล้ว ภาวะหมดไฟ คืออะไร มีสัญญาณเตือนแบบไหน ที่จะทำให้รู้ว่า กำลังเข้าข่าย
ภาวะหมดไฟทำงาน และทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้หรือไม่ เพื่อให้รู้เท่าทัน และหมั่นสังเกตสัญญาณเตือน จะช่วยให้รับมือได้อย่างถูกวิธีก่อนสายเกินไป
"ภาวะหมดไฟ" หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน Burnout คือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ ที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในการทำงาน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโรคใหม่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยเป็นโรคที่เป็นผลจากการความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงาน ซึ่งควรได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทาง ก่อนจะรุนแรงและคุกคามการใช้ชีวิต แบ่งลักษณะอาการออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- เหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกหมดพลัง สูญเสียพลังจิตใจ
- มีทัศนคติเชิงลบต่อความสามารถในการทำงานของตนเอง ขาดความเชื่อมั่นในความสำเร็จ
- ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ความสัมพันธ์ในที่ทำงานเหินห่างหรือเป็นไปทางลบกับผู้ร่วมงานและลูกค้า
สัญญาณเตือนภาวะหมดไฟ
1. ด้านอารมณ์
- หดหู่
- ซึมเศร้า
- หงุดหงิด โมโหง่าย
- อารมณ์แปรปรวน
- ไม่พอใจในงานที่ทำ
2. ด้านความคิด
- มองคนอื่นในแง่ลบแง่ร้าย
- โทษคนอื่นเสมอ
- ระแวง
- หนีปัญหา ไม่จัดการปัญหา
- สงสัยและไม่เชื่อในศักยภาพของตนเอง
3. ด้านพฤติกรรม
- ผลัดวันประกันพรุ่ง
- ขาดความกระตือรือร้น
- หุนหันพลันแล่น
- บริหารจัดการเวลาไม่ได้
- ไม่อยากตื่นไปทำงาน
- มาสายจนผิดสังเกตติดต่อกัน
- ไม่มีสมาธิในการทำงาน
- ไม่มีความสุขในการทำงาน
ระยะเวลาก่อนหมดไฟทำงาน แบ่งเป็นระยะต่าง ๆ ที่นำมาสู่ภาวะหมดไฟในที่สุดดังนี้
- ระยะฮันนีมูน (the honeymoon) เป็นช่วงเริ่มงานหรือที่เรียกว่าช่วงไฟแรง คนทำงานมีความตั้งใจ เสียสละเพื่องานเต็มที่ พยายามปรับตัวกับเพื่อนร่วมงานและองค์กร
- ระยะรู้สึกตัว (the awakening) เมื่อเวลาผ่านไป คนทำงานเริ่มรู้สึกว่าความคาดหวังของตัวเองอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง เริ่มรู้สึกว่างานไม่ตอบสนองกับความต้องการ ทั้งในแง่การได้รับค่าตอบแทน และการเป็นที่ยอมรับ อาจรู้สึกว่าชีวิตดำเนินอย่างผิดพลาด และไม่สามารถจัดการได้ ทำให้เกิดความคับข้องใจและเหนื่อยล้า
- ระยะไฟตก (brownout) รู้สึกเหนื่อยล้าเรื้อรัง และหงุดหงิดง่ายขึ้นอย่างชัดเชน อาจมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อหนีความคับข้องใจ เช่น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ดื่มสุรา ส่งผลให้ความสามารถในการทำงานลดลง อาจเริ่มมีการแยกตัวจากเพื่อนร่วมงาน
- ระยะหมดไฟเต็มที่ (full scale of burnout) หากช่วงไฟตกไม่ได้รับการแก้ไข จะเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง มีความรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป มีอาการของภาวะหมดไฟเต็มที่
- ระยะฟื้นตัว (the phoenix phenomenon) หากได้มีโอกาสผ่อนคลาย ได้พูดคุยกับคนที่ไว้ใจและให้กำลังใจ รวมถึงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ จะสามารถกลับมาปรับตัวเอง และความคาดหวังต่องานให้ตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น รวมถึงสามารถปรับแรงบันดาลใจ และเป้าหมายในการทำงานด้วย
อย่างไรก็ตาม หากภาวะหมดไฟไม่ได้รับการจัดการ อาจส่งผลด้านต่าง ๆ เช่น ผลด้านร่างกายอาจพบอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ ผลด้านจิตใจ บางคนอาจสูญเสียแรงจูงใจ หมดหวัง รู้สึกหมดหนทางที่จะช่วยให้ดีขึ้น ส่งผลให้มีอาการของภาวะซึมเศร้า และอาการนอนไม่หลับได้ ส่งผลต่อการทำงาน อาจขาดงานบ่อย ประสิทธิภาพการทำงานลดลง หรืออาจคิดเรื่องลาออกในที่สุด
งานแบบไหนเสี่ยงภาวะหมดไฟ
- งานหนักและปริมาณมากเกินไป
- งานซับซ้อน งานเร่งรีบ
- งานที่ผลตอบแทนไม่เหมาะสม
- งานที่ทำให้รู้สึกไม่ได้รับคุณค่าและความภูมิใจในการทำงาน
- งานที่ขาดความยุติธรรม ความเชื่อใจ การยอมรับในการทำงาน
- งานที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในงานที่ทำ
- งานที่การบริหารงานไร้ระบบ ไม่มีเป้าหมายชัดเจน
การบำบัดรักษาภาวะหมดไฟ
- ลดการใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสาร และจำกัดเวลาการใช้โซเชียลมีเดีย
- ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบนอกเวลาทำงาน เช่น ดูภาพยนตร์ ฟังเพลง ออกกำลังกาย เล่นโยคะ ท่องเที่ยว ฯลฯ นอกจากนี้การทำสมาธิ และฝึกฝนเทคนิคการผ่อนคลายก็เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ
- จัดระเบียบการใช้ชีวิต จัดลำดับความสำคัญของงาน เช่น โฟกัสกับงานแต่ละชิ้นตามลำดับความสำคัญ กำหนดเวลาที่จะใช้ตอบอีเมลล์ในแต่ละวัน ไม่นำงานกลับมาทำต่อที่บ้าน หรือนอกเวลางาน
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
- ปรับทัศนคติในการทำงาน
- พัฒนาทักษะการปรับตัว การสื่อสาร การแก้ปัญหา
- ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน พยายามหลีกเลี่ยงการสนทนากับบุคคลที่มองโลกในแง่ร้าย ใช้เวลามากขึ้นกับคนที่เข้าใจและมองเห็นคุณค่าในตัวของคุณ
ทั้งนี้ หลายคนมักสงสัยว่า ภาวะหมดไฟทำงาน (Burnout Syndrome) เป็นอาการของโรคซึมเศร้าหรือไม่ นพ.อโณทัย สุ่นสวัสดิ์ แพทย์ด้านจิตเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ ระบุว่า ภาวะหมดไฟในการทำงาน กับโรคซึมเศร้า มีความแตกต่างกัน ไม่ใช่โรคเดียวกัน แต่อย่านิ่งนอนใจ ควรปรึกษาจิตแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้รับการตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาอย่างทันท่วงที
เพื่อไม่พลาด ข่าวสารต่างๆ คมชัดลึก ไปที่
Youtube - https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w
LineToday - https://today.line.me/th/v2/publisher/100057