X-RAY กับ MRI ต่างกันอย่างไร ทำไมแพทย์แนะผู้ป่วย 'โรคกระดูกสันหลัง' ทำคู่กัน
เหตุใดแพทย์จึงแนะนำให้ ผู้ป่วย 'โรคกระดูกสันหลัง' X-RAY และทำ MRI ควบคู่กัน แล้วทั้ง 2 วิธีนี้มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เหตุใดแพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วย โรคกระดูกสันหลัง X-RAY และทำ MRI ควบคู่กัน แล้วทั้ง 2 วิธีนี้มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ คมชัดลึก มีคำตอบมาฝากกันค่ะ
หลังจากที่แพทย์ได้ซักประวัติและตรวจร่างกายผู้ป่วยแล้ว และหากยังได้ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยไม่ครบถ้วน ขั้นตอนต่อไปแพทย์จะส่งตรวจทางรังสีวินิจฉัย ซึ่งโดยทั่วไปเครื่องมือที่แพทย์กระดูกสันหลังนิยมใช้ได้แก่ X-RAY และ MRI ซึ่งแต่ละวิธีมีขั้นตอนและจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน
นพ.เมธี ภัคเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ อธิบายว่า ในกรณีที่คุณมีอาการผิดปกติทางด้าน โรคกระดูกสันหลัง รู้สึกปวดหลังร้าวลงขา หรือปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ และอยากที่จะรักษาให้หายขาดก็มีความจำเป็นต้องตรวจทั้ง เอ็กซเรย์ และ MRI ควบคู่กัน เพราะจะทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ เนื่องจากเอ็กซเรย์จะเน้นดูโครงสร้างของกระดูกสันหลัง ส่วนการทำ MRI จะเห็นความผิดปกติของหมอนรองกระดูกได้อย่างชัดเจนนั้นเอง หากแพทย์วิเคราะห์ได้ตรงจุด ผลลัพธ์ของการรักษาที่ได้ก็จะมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเราจึงต้องใช้ทั้ง X-RAY และ MRI ช่วยในการวิเคราะห์โรคเพื่อความถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งในการดูฟิล์มเอ็กซเรย์ หรือผลตรวจของ MRI จำเป็นต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการอ่านผล เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้
“จากผลสำรวจการใช้งานเครื่อง MRI ทั่วโลกในปี 2018 พบว่า ความเหมาะสมในการตรวจโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังมาเป็นลำดับแรก รองลงมาคือ สมอง เนื่องจากเครื่อง MRI ให้รายละเอียดและความคมชัดสูงระดับ 3 มิติ (3D) ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยความผิดปกติในร่างกายได้อย่างแม่นยำ และที่สำคัญการตรวจด้วยเครื่องมือชนิดนี้ ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใดๆ แก่ร่างกาย และไม่มีอันตรายจากรังสี ขณะที่ MRI ที่ใช้อยู่ทั่วโลกประมาณ 90% จะเป็นแบบอุโมงค์ ซึ่งต่างจากเครื่อง MRI แบบยืนที่มีจำนวนจำกัด ปัจจุบันมีเพียงเครื่องเดียวในประเทศไทยที่โรงพยาบาลของเรา เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ ตรงจุด และชัดเจน แก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้อย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาการปวดอาจมาจากหลายสาเหตุ ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณเตือนอาการเหล่านี้ ควรเริ่มป้องกันและค้นหาสาเหตุคือสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อมีอาการแล้วก็ไม่ควรปล่อยไว้นานจนเรื้อรัง เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงโรคร้ายแรงได้” นพ.เมธี ภัคเวช แนะนำ