เคทีเอฟประเดิมส่งออกปุ๋ยอินทรีย์ล็อตใหญ่ไปจีนแสนตันต่อปี
โดย - โต๊ะข่าวเกษตร
ปุ๋ยอินทรีย์เกษตรไทยโกอินเตอร์วาดแผนทำตลาดนอก 90% ประเดิมด้วย จีนสั่งล็อตใหญ่ 100,000 ตัน/ปี พร้อมเพิ่มเป็นเท่าตัวในปีต่อไป ชี้เป็นออเดอร์ต่อยอดแผนอนาคต ที่ขยายฐานปุ๋ยอินทรีย์ไปเมืองมะกัน เตรียมดันบริษัทฯ(เคทีเอฟ)เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในอีก5ปีข้างหน้า
เทรนด์อาหารสุขภาพที่กำลังมาแรงทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการปัจจัยการผลิตที่เป็นต้นน้ำโดยเฉพาะปุ๋ยอินทรีย์ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม กำลังมาแรงเช่นกัน โดยวัดจากภาพตลาดรวมในการสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศในแต่ละปีที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆขึ้น ล่าสุด บริษัท ปุ๋ยอินทรีย์เกษตรไทย จำกัด(เคทีเอฟ) หนึ่งในผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชั้นแนวหน้าของประเทศไทย บรรลุข้อตกลงขายปุ๋ยอินทรีย์ล็อตใหญ่ที่สุดสู่แดนมังกรถึง 100,000 ตัน/ปี!
นายอำนวย สกุลวัฒนะ ประธานกรรมการ บริษัท ปุ๋ยอินทรีย์ เกษตรไทย จำกัด กล่าวระหว่างเปิดแถลงข่าวว่า ทางบริษัทได้บรรลุข้อตกลงในการลงนามร่วมกับนายชุนยู ซู (Mr.Chunyu Zhu) ประธานกรรมการบริษัท Huaqing Housing Holding Co.,Ltd จากประเทศจีน ในการขายปุ๋ยอินทรีย์ 100,000 ตัน (มูลค่า1,000ล้านบาท) ให้กับบริษัทคู่ค้าในแดนมังกร โดยมีกำหนดส่งมอบต้นปีในเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 ซึ่งจะทยอยส่งมอบไตรมาสละ 25,000 ตัน กระทั่งครบ 100,000 ตัน ภายใน 1 ปี
นายอำนวย กล่าวว่า บริษัทมองเห็นโอกาสในการทำตลาดกับต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอนนี้รัฐบาลในหลายประเทศให้การสนับสนุนในเรื่องเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะรัฐบาลจีนที่เน้นส่งออก และนำเข้าสินค้าเกษตรที่เป็นพืชผลอินทรีย์หรือออร์แกนิคมากขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เนื่องจากในตลาดโลกราคาของพืชผลที่เป็นอินทรีย์นั้นจะมีราคาสูงกว่าปกติถึง 4 เท่า แต่ต้องยอมรับว่าปุ๋ยในประเทศจีนที่ใช้กันอยูในขณะนี้ส่วนมากก็ยังเป็นปุ๋ยเคมี ทางบริษัท Huaqingจึงมองหาแหล่งผลิตปุ๋ยอินทรีย์อยู่ตลอดจนกระทั่งมาเจอบริษัทปุ๋ยอินทรีย์เกษตรไทยหรือ เคทีเอฟ ของเรา
“นี่นับเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท ปุ๋ยอินทรีย์เกษตรไทย ในฐานะผู้บุกเบิกการทำปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งเป็นต้นน้ำของเกษตรอินทรีย์ มาตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน ที่เปิดตลาดขายปุ๋ยอินทรีย์สู่ต่างประเทศได้สำเร็จ และเชื่อว่าเป็นการส่งออกปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย นอกจากนี้ ตามสัญญาในปีต่อ ๆ ไป ทางบริษัทจะต้องส่งปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มขึ้นอีกถึง 1 เท่าตัว หรือ 200,000 ตัน/ปี นั่นแสดงถึงความเชื่อมั่นที่คู่ค้าจากประเทศจีนมีต่อบริษัท หลังจากได้เยี่ยมชมโรงงานและเห็นมาตรฐานการผลิต การควบคุมคุณภาพ และปริมาณการผลิตของบริษัท การเซ็นสัญญาสั่งซื้อครั้งนี้จึงเกิดขึ้น”
สำหรับยอดการสั่งซื้อมหาศาลจากต่างประเทศในครั้งนี้ นายอำนวยกล่าวว่า ทำให้บริษัทต้องเพิ่มกำลังการผลิตเป็นเท่าตัว จากปัจจุบันที่บริษัทมีกำลังการผลิตสำหรับป้อนตลาดในประเทศอยู่แล้วปีละ 100,000 ตัน ซึ่งในอนาคต กำลังการผลิตยิ่งต้องเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะบริษัทตั้งเป้าเป็นบริษัทผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์รายแรกที่สามารถส่งปุ๋ยอินทรีย์ฝีมือคนไทยสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งมีความสนใจในผลิตภัณฑ์ปุ๋ยอินทรีย์พรีเมี่ยมของบริษัทอยู่เช่นกัน และเชื่อว่าการขายปุ๋ยอินทรีย์ล็อตใหญ่สู่บริษัทในประเทศจีน หรือแดนมังกรในครั้งนี้ จะเป็นหนึ่งในใบเบิกทางให้บริษัทโกอินเตอร์ได้สำเร็จ ซึ่งก็ตรงกับแผนในอนาคตอันใกล้ของบริษัทที่ตั้งใจจะทำตลาดในต่างประเทศให้ได้ถึง 90% อยู่แล้ว ขณะที่วางยอดขายภายในประเทศไว้แค่ 10%
พร้อมกันนี้ยังตั้งเป้าต่อยอดสู่การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ ภายใต้ชื่อ"ออร์แกนิคแลนด์" บนพื้นทีกว่า 200ไร่ (ที่ตั้งอยู่บริเวณริมถนนกำแพงแสน-พนมทวน (หลักกิโลเมตรที่ 19 จากม.เกษตรฯ กำแพงแสน) ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ) ซึ่งเป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ของทางบริษัทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ทางครอบครัวได้ซื้อไว้เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วจากธนาคารที่ยึดมาขายทอดตลาด จากนั้นก็มีพัฒนาปรับปรุงพื้นที่นำมาใช้เป็น 2 โซนหลัก คือโซนโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ และโซนพื้นที่ฟาร์มเกษตรกรรม ซึ่งจะเน้นการปลูกข้าวอินทรีย์ ผักสลัด ผักสมุนไพร รวมทั้งพืชผักสวนครัวที่เป็นออแกนิก นอกจากนั้นก็ยังมี เลี้ยงปลา ทำฟาร์มเป็ดไข่ และ ฟาร์มแกะ-แพะ อีกด้วย โดยตนได้ ยึดรูปแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริมาใช้กับพื้นที่บริเวณนี้ โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากโรงงาน 100%
“ด้วยการผลิตครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ที่นี่เราไม่ใช้สารเคมีใดๆ เลย ทุกอย่างเป็นอินทรีย์ทั้งหมด โดยปุ๋ยอินทรีย์ที่เราผลิตนั้น จะเป็นแบบพรีเมี่ยม โดยมีทั้งปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก คือจะมีส่วนผสมที่ค่อยๆปล่อยธาตุอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของพืชแต่ละชนิด ต่างกันออกไปอย่างช้าๆ ตามแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะทำให้ผักผลไม้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และไม่เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย จึงมั่นใจได้เลยว่าอาหารที่รับประทานก็ใช้วัตถุดิบจากฟาร์ม หรือจะมาเดิมชมกิจกรรมในฟาร์ม ก็จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์จริงๆ ไม่มีกลิ่นอายของสารเคมีใดๆ เลย”
นายอำนวย กล่าวด้วยว่า จากความมั่นคงของบรษัท และเป็นไปได้ของยอดขายของการทำธุรกิจนั้น บริษัทตั้งเป้าว่าจะนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้เพื่อขยายฐานธุรกิจต่อไป ซึ่งตอนนี้บริษัทมีความพร้อมในหลายๆด้านแล้ว รวมทั้งด้านเงินทุน แต่ยังคงต้องใช้เวลาระยะใหญ่ๆ ในเรื่องการพัฒนาและปรับบุคลากรในองค์กรให้พร้อมรับการเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งคาดว่าทุกอย่างน่าจะลงตัวภายระยะเวลาไม่เกิน 5ปี
/