ข่าว

"หงษ์ทองนาหยอด"นวัตกรรมใหม่สู่ชาวนาไทยยั่งยืน

"หงษ์ทองนาหยอด"นวัตกรรมใหม่สู่ชาวนาไทยยั่งยืน

12 ต.ค. 2561

"หงษ์ทองนาหยอด"ลดต้นทุนเพิ่มผลผลิต นวัตกรรมใหม่สู่ชาวนาไทยยั่งยืน

 

              “กระดูกสันหลังของชาติ” คำเปรียบเปรยสั้นๆ ที่สื่อถึง “ชาวนา” อาชีพที่อยู่เคียงคู่ผืนแผ่นดินไทยมาอย่างยาวนาน แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนผลัดช่วงเวลามากี่ยุคสมัย หนึ่งในอาชีพที่สำคัญที่สุดในประเทศเกษตรกรรมนี้ ก็ยังคงลำบากอยู่เช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน ความภูมิใจที่สร้างอาหารหลักเลี้ยงปากท้องคนในชาติ กลับไม่สามารถนำมาเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวได้ จนก่อเป็นโรคร้ายที่คอยกัดกินกระดูกสันหลังนี้ให้เสื่อมโทรมและหมดกำลังใจมากขึ้นทุกวัน

\"หงษ์ทองนาหยอด\"นวัตกรรมใหม่สู่ชาวนาไทยยั่งยืน

                 การซ่อมแซมกระดูกสันหลังนี้ถูกยกเป็นปัญหาระดับชาติมาทุกยุคสมัย แต่แม้จะพยายามเยียวยารักษาเท่าไร ปัญหาเหล่านี้ก็แก้ไขได้เพียงบางจุดเท่านั้น ชาวนาบางคนสามารถลืมตาอ้าปากพยุงเอาผืนนาและครอบครัวรอดพ้นจากความยากลำบากได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ได้แต่ปลูกข้าวและรอคอยความหวังที่ไม่รู้จะมาย่ำลงบนผืนนาของพวกเขาเมื่อไร จนกระทั่งในปี 2558 พื้นนาใน ต.โพนข่า จ.ศรีสะเกษ ได้สร้างความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตชาวนาไทย ด้วยรวงข้าวสีทองจากเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ โดยโครงการหงษ์ทองนาหยอด ผลงานวิจัยของ บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง สร้างรายได้มากกว่าเดิมถึงเฉลี่ยไร่ละ 3,000-4,000 บาท ให้ทั้งราคารับซื้อข้าวที่ดี และผู้บริโภคได้ข้าวใหม่ ที่หอม นุ่ม อร่อย

                ดร.วัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “ข้าวหงษ์ทอง” ผู้หยิบเอาข้าวไทยในสัญลักษณ์หงษ์สีทองไปสยายปีกทั้งในไทยและต่างประเทศ จนปัจจุบันข้าวหงษ์ทองมีอายุครบ 80 ปี กล่าวระหว่างนำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ดูความก้าวหน้าโครงการหงษ์ทองนาหยอด ใน จ.ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ว่า หัวใจสำคัญที่อยู่เคียงข้างพวกเขามาตลอด ก็คือ “ชาวนาไทย” ผู้เป็นทั้งเพื่อนและครอบครัวคนสำคัญของบริษัท ความสำเร็จของข้าวหอมมะลิเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ผืนแรกใน จ.ศรีสะเกษ ถือเป็นก้าวแรกของ “โครงการหงษ์ทองนาหยอด” โครงการสำคัญที่ได้เติมเต็มความหวังให้แก่เกษตรกรชาวไทยกว่า 4 หมื่นไร่ ได้มีแรงฮึดสู้ สร้างกำลังใจให้งอกเงยได้อีกครั้ง

                  โครงการหงษ์ทองนาหยอด เป็นการฉีกภาพการทำนาหว่านแบบเดิมๆ สู่วิธีการปลูกด้วยวิธีนาหยอดแบบแห้ง สร้างผลผลิต และรายได้ที่มากขึ้น จากลดการใช้เมล็ดพันธุ์ให้น้อยลง จากเดิมที่ชาวนาหว่านข้าวเพื่อปลูกครั้งละ 25-35 กิโลกรัม จะลดเหลือเพียง 8-10 กิโลกรัมต่อไร่จากการทำนาหยอด จุดแข็งอีกอย่างของนาหยอดคืออัตราการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ รวงข้าวที่ขึ้นจะเรียงเป็นแถว ดูแลเรื่องแมลงและวัชพืชได้ง่าย มองเห็นต้นข้าว สามารถคำนวณการให้ปุ๋ยได้ชัดเจน จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายทั้งยาฆ่าแมลงและปุ๋ย อีกทั้งต้นข้าวจะแตกกอได้ดีไม่เบียดแน่น ปริมาณข้าวออกรวงสูงเมล็ดเรียงสวยงาม รวงข้าวแข็งแรงและมีคุณภาพ

                 การทำนาหยอดเป็นการช่วยลดต้นทุนให้ชาวนาได้อย่างชัดเจน จากเดิมที่ต้องลงทุนราวๆ 3,060 บาทต่อไร่ ลดลงเหลือ 2,575 บาท หรือมีต้นทุนลดลงราวๆ 16% อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มผลผลิตจาก 451 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นอีก 108 กิโลกรัม เป็น 559 กิโลกรัมต่อไร่ หรือคิดเป็น 24% จากระยะแรกที่มีชาวนาเข้าร่วมโครงการหงษ์ทองนาหยอดเพียง 53 ราย พื้นที่ 573 ไร่ เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนชาวนาที่เข้าร่วมโครงการก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,086 ราย บนพื้นที่กว่า 4 หมื่นไร่ ขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวคุณภาพทั่วทั้ง จ.ศรีสะเกษ จ.อำนาจเจริญ และไล่เรียงต่อยอดไปสู่ จ.อุบลราชธานี อีกด้วย

 

\"หงษ์ทองนาหยอด\"นวัตกรรมใหม่สู่ชาวนาไทยยั่งยืน

                แม้กรรมวิธีการทำนาหยอดจะได้ผลและตอบโจทย์แก่เกษตรกรอย่างชัดเจน แต่ด้วยข้อจำกัดของข้าวหอมมะลิที่ปลูกได้เพียง 1 ครั้งต่อปี ทำให้ผืนนาต้องไร้ซึ่งผลผลิตไปกว่าครึ่งปี ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเหล่าเกษตรกรโดยตรง ซึ่งในช่วงนอกฤดูการทำนานั้น บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด จะส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชที่เป็นที่ต้องการในท้องตลาด พร้อมจัดหาเมล็ดพันธุ์ สอนวิธีการ รวมไปถึงเป็นตลาดรับซื้อผลผลิตให้แก่เกษตรกร อาทิ ปลูกแตงโม ฟักทอง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง เป็นต้น

            ดร.วัลลภ กล่าวต่อไปว่า โครงการหงษ์ทองนาหยอดไม่ใช่แค่การเพิ่มผลผลิตที่เน้นปริมาณของข้าวเท่านั้น เรายังเน้นเรื่องคุณภาพของข้าว เมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ 99% ที่เกษตรกรใช้ในโครงการถือเป็นคำตอบที่เราพยายามสร้างมาเกือบ 10 ปี ผลผลิตที่ได้จึงเป็นข้าวหอมมะลิคุณภาพดีมาก โดยเฉพาะข้าวลอตแรกที่เราเรียกกันว่า ‘ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู’ เป็นข้าวที่มาจากโครงการหงษ์ทองนาหยอด ที่ปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์บริสุทธ์ ในแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ เป็นข้าวที่มีความเหนียวนุ่ม มีกลิ่นหอม และรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ เรานำมาสีและบรรจุให้เร็วที่สุดเพื่อผู้บริโภคได้รับประทานข้าวหอมมะลิใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งรุ่นนี้เรามีจำนวนจำกัด จึงเรียกว่า ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู รุ่น Limited Edition มีเพียงเท่านี้หมดแล้วหมดเลย

               การสร้างข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศได้ จึงเป็นรางวัลที่ดีที่สุด และบ่งบอกความสำคัญของโครงการนาหยอดได้เป็นอย่างดี

\"หงษ์ทองนาหยอด\"นวัตกรรมใหม่สู่ชาวนาไทยยั่งยืน

               “สำหรับบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด เรามีอัตลักษณ์ขององค์กร คือ ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ มีน้ำใจ เราทุกคนถูกสอนให้ซื่อสัตย์สุจริต หากเราตกลงกับใครไว้เราก็ต้องทำให้ได้ แม้เราจะขาดทุนหรืออย่างไรก็ตาม เพราะนี่คือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบต่อคำมั่นสัญญา การดูแลชาวนาไทยไม่ได้เป็นการหยิบยื่นความหวังไปให้ แต่เป็นการสร้างความแข็งแรง ยั่งยืน ให้แก่ชาวนาไทย ให้เกิดจากภายในผืนนาของตนเอง ฟื้นฟูตัวเองเป็นกระดูกสันหลังที่แข็งแรง ช่วยให้ชาวนาไทยทุกคนได้ปลูกข้าวด้วยความภูมิใจอีกครั้ง” ดร. วัลลภ มานะธัญญา กล่าวทิ้งท้าย 

 

 ชาวนามั่นใจโครงการหงษ์ทองนาหยอด

                 บัวผัน ผิวบาง  ชาวนาบ้านโพนข่า ต.โนนข่า อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ที่เปลี่ยนจากนาหว่านมาทำนาหยอดในโครงการหงษ์ทองนาหยอด บอกว่า มีที่นาทั้งหมด 10 ไร่ แบ่งมาทำนาหยอด 7 ไร่ ที่เหลืออีก 3 ไร่ทำนาหว่านข้าวเหนียวไว้สำหรับกินเองในครอบครัว ส่วนนาหยอดนั้นจะปลูกข้าวหอมมะลิ 105 ซึ่งสามารถลดต้นทุนได้กว่า 50% โดยเฉพาะค่าปุ๋ย ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการทำนา ขณะที่ได้ผลผลิตเพิ่มอีกเท่าตัว โดยผลผลิตทั้งหมดส่งขายให้แก่บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง อยู่ในตัวเมืองศรีสะเกษ เนื่องจากทางโรงสีจะรับซื้อผลผลิตทั้งหมดให้ราคาที่สูงกว่าท้องตลาด โดยบวกเพิ่มให้อีก 500 บาทต่อตัน

               “เข้าร่วมโครงการหงษ์ทองนาหยอดเป็นปีที่ 2 ก็รู้สึกว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น ปีที่แล้ว(ปี 2560) ได้ผลผลิตทั้งหมด 4,340 กิโลกรัม ผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 620 กิโลกรัม มาปีนี้ (2561) ได้เพิ่มเป็น 4,795 กิโลกรัม ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นเป็น 685  กิโลกรัม ปีหน้าคิดว่าจะทำนาหยอดทั้งหมด ทั้ง 10 ไร่ เพราะเห็นผลสำเร็จแล้วจากที่ได้เข้าร่วมโครงการ” ชาวนาคนเดิม กล่าวและว่า นอกจากนี้ทางบริษัทยังเข้ามาช่วยดูแลการปลูกพืชหลังนาเพื่อเป็นรายได้เสริม โดยพื้นที่ของตนนั้นได้ปลูกแตงโม ซึ่งบริษัทก็จะช่วยในเรื่องการตลาดให้ด้วยเช่นกัน