ไลฟ์สไตล์

มธ.เปิดโผบัณฑิตจบใหม่5คณะ ได้งานทำสูงสุด

มธ.เปิดโผบัณฑิตจบใหม่5คณะ ได้งานทำสูงสุด

02 ม.ค. 2560

มธ. โชว์ผลติดอันดับโลกด้านคุณภาพบัณฑิต (Employability Ranking)โดยQSพร้อมกวาดการประเมินคุณภาพ สูงสุด5ดาว ครอบคลุม5ด้านหลัก

           ศ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในฐานะสถาบันการศึกษาที่มุ่งบ่มเพาะและหล่อหลอมบัณฑิตให้มีความพร้อมด้วยทักษะด้านวิชาการ ทักษะความสามารถในการแก้ไขปัญหา มีจิตสำนึกรับผิดชอบอย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ อาทิ การใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-basedLearning)และการใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-basedLearning)เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้บัณฑิตมีความพร้อมและสามารถก้าวเข้าสู่วิถีการทำงานได้อย่างมีศักยภาพ โดยล่าสุดจากรายงานผลสำรวจสภาวะการมีงานทำของบัณฑิตปริญญาตรี ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2558 พบว่า บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาสามารถมีงานทำ ภายใน 4 เดือน จำนวนสูงถึง73.82%หรือประมาณ3,279คน โดยสูงกว่าปีการศึกษา 2557 ที่ผ่านมาประมาณ 1.07%

           ทั้งนี้ สำหรับคณะที่มีบัณฑิตได้งานทำสูงสุด 5 อันดับ ในระยะเวลา 4 เดือนแรก หลังสำเร็จการศึกษา คือ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยคิดเป็น 100%97.56%97.34%89.80%และ80.16%ตามลำดับ โดยคณะทันตแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ถือเป็น 3 คณะในสาขาการแพทย์ที่มีบัณฑิตได้งานทำสูงสุดใน 5 อันดับแรกต่อเนื่องถึง 3 ปี นับตั้งแต่รุ่นปีการศึกษา 2556-2558นอกจากนี้ จากผลสำรวจยังพบว่า บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรภาษาอังกฤษและนานาชาติ จะมีรายรับเฉลี่ยต่อเดือนเป็นเงิน 29,982 บาท ขณะที่บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรภาษาไทย จะมีรายรับโดยเฉลี่ยที่ 22,114 บาท

           ขณะที่หลักสูตรภาษาไทย คณะที่ได้เงินเดือนพร้อมรายได้อื่นเฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นสูงสุดเป็น 5 อันดับแรก คือ อันดับ 1 คณะทันตแพทยศาสตร์51,441บาท อันดับ 2 คณะแพทยศาสตร์46,546บาท อันดับ 3 เศรษฐศาสตร์ 26,392 บาท อันดับ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี 25,827 บาท และอันดับ 5 คณะศิลปะศาสตร์ 25,336บาท และหลักสูตรนานาชาติ คณะที่มีรายรับเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ อันดับ 1 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี 38,652 บาท อันดับ 2 คณะรัฐศาสตร์ 34,225 บาท อันดับ 3 วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ 31,116 บาท อันดับ 4 คณะเศรษฐศาสตร์ 29,455 บาท และอันดับ 5 สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร 29,245 บาท ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีบัณฑิตในรุ่นปีการศึกษา 2558 มี มีรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก จากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรธุรกิจเอกชนสูงถึง 200,000 160,000 และ 126,000 บาท ขณะที่บัณฑิตที่ดำเนินธุรกิจส่วนตัว มีรายรับสูงสุดถึง 550,000 บาท  

          "จากความสำเร็จด้านการมีงานทำของบัณฑิตดังกล่าว สะท้อนสู่ศักยภาพและมาตรฐานของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในหลากหลายด้าน ซึ่งได้รับการจัดอันดับจากQuacquarelli Symonds (QS)สถาบันจัดอันดับและประเมินมาตรฐานด้านการศึกษาระดับโลกแห่งสหราชอาณาจักรโดยล่าสุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการประเมินสูงสุดในระดับ 5 ดาว ทั้งหมด 5 ด้าน คือด้านการจ้างงานของบัณฑิตมหาวิทยาลัย (Employability)ความเป็นนานาชาติ (Internationalization)ความพร้อมในด้านสิ่งอํานวยความสะดวก (Facilities)ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibilities)และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย (Inclusiveness)ซึ่งเป็น 5 ด้านที่มีความสำคัญสำหรับโลกในยุคปัจจุบันโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวของไทยที่ได้การประเมินสูงสุด"ศ.ดร.สมคิดกล่าวทิ้งท้าย

          ด้าน รศ.ดร. พิภพ อุดร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ.กล่าวว่า จากสถิติบัณฑิตจบใหม่ของประเทศไทย ที่มีจำนวนกว่า 3 แสนคนต่อปี สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มเด็กที่มีคุณภาพ ก็จะมีศักยภาพในการหางานด้วยตนเอง  หรือหน่วยงานดึงตัวไปทำงานทันทีหลังจบการศึกษา 2. กลุ่มเด็กที่มีคุณภาพและพร้อมด้วยทักษะผู้ประกอบการ ก็จะมีความคิดในการประกอบธุรกิจสูง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะผันตัวเองเป็นสตาร์ทอัพ ผ่านการร่วมทุนกับกลุ่มเพื่อน ครอบครัว หรือการระดมทุนจากกลุ่มนักลงทุน หรือผ่านทางCrowdfundingเป็นต้น และ 3. กลุ่มเด็กที่อาจจะเรียนในศาสตร์ที่มีคนล้นเกินความต้องการของผู้จ้างงาน และอาจไม่มีคุณภาพมากเพียงพอ ก็จะทำให้ประสบปัญหาภาวะการมีงานทำ ดังนั้น ทั้งสถาบันการศึกษา และหน่วยสนับสนุนภาครัฐ จึงจำเป็นต้องร่วมมือพัฒนาทักษะและศักยภาพของบัณฑิตรุ่นใหม่อย่างจริงจังโดยต้องเน้นหนักในหลักสูตรด้านการประกอบการ (Entrepreneur) การคิด วิเคราะห์ ค้นคว้าที่เข้มข้น ต้องปรับสภาพแวดล้อมในสถาบันการศึกษาให้เอื้อต่อการคิดสร้างสรรค์และการลงมือปฏิบัติจริง อีกทั้งต้องเสริมสร้างทักษะภาษาที่ 3 หรือภาษาต่างประเทศอื่นนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ต้องทำควบคู่ไปกับการปลูกฝังทักษะการจัดการข้ามวัฒนธรรม