ไลฟ์สไตล์

จัดสรรงบ"บัตรทอง" ปี 61 

จัดสรรงบ"บัตรทอง" ปี 61 

18 ก.ย. 2560

จัดสรรงบบัตรทอง ปี 61  ดูแลผู้มีสิทธิกว่า 48 ล้านคน เน้นบริหารงบประมาณเพิ่มประสิทธิภาพ แก้ปัญหาอุปสรรคด้านการบริหารจัดการ เพิ่มการเข้าถึงการรักษาของคนไทย

       นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2560 ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) ได้ลงนามประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเรื่อง “หลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2561 และหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขหน่วยบริการ ตามที่บอร์ด สปสช.ได้ให้ความเห็นชอบตามที่อนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุนนำเสนอ หลังจากที่ ครม.ได้มีมติอนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2561 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์2560 จำนวน 171,373.67 ล้านบาท ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณดังนี้

       1.บริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว จำนวน 156,019.62 ล้านบาท เพื่อดูแลประชากร 48 ล้านคน โดยเป็นงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวหลังหักเงินเดือนภาครัฐ จำนวน 111,179.08 ล้านบาท 

      2.บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 3,218.24 ล้านบาท ดูแลผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ 296,900 ราย

      3.บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง จำนวน 8,165.60 ล้านบาท ดูแลผู้ป่วย 52,976 ราย

จัดสรรงบ\"บัตรทอง\" ปี 61 

      4.บริการควบคุม ป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง จำนวน 1,019.20 ล้านบาท ดูแลผู้ป่วย 2,907,200 ราย

      5.ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัยและพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,490.28 ล้านบาท สำหรับหน่วยบริการ 175 แห่งในพื้นที่ 

      6.ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 1,159.20 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้สูงอายุกลุ่มเป้าหมาย 193,200ราย

        และ 7.ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว จำนวน 240 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการผู้ป่วยนอกทั้งในและนอกเขตกรุงเทพฯมหานครเพิ่มเติมจำนวน 652,173 ครั้ง  

          นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวอีกว่า ในปีงบประมาณ 2561 ยังได้ปรับปรุงการบริหารกองทุนฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและแก้ไขปัญหาอุปสรรค ได้แก่ 1.การปรับปรุงแนวทางการจ่ายค่ายา วัคซีน เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ โดยในปี 2561 สปสช.จะจ่ายค่ายา วัคซีน เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษให้แก่เครือข่ายหน่วยบริการด้านยาและเวชภัณฑ์ตามแผนและวงเงินการจัดหาฯ ที่ผ่านความเห็นชอบแล้วจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวนวงเงินประมาณ 11,252.71 ล้านบาท เพื่อให้เครือข่ายหน่วยบริการด้านยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนให้กับหน่วยบริการที่อยู่ในเครือข่าย กรณีหน่วยบริการใดที่ไม่อยู่ในเครือข่าย สปสช.จะจ่ายชดเชยเป็นเงินตามอัตราที่ สปสช.กำหนด

       2. ระบุช่วงเวลาข้อมูลที่เป็นตัวแทนการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อให้จ่ายเงินกองทุนให้กับหน่วยบริการได้ภายในปีงบประมาณ 3.บูรณาการจ่ายตามเกณฑ์คุณภาพผลงานบริการที่อยู่ในรายการต่างๆ 4. เพิ่มสิทธิประโยชน์บริการคัดกรองและตรวจยืนยันไวรัสตับอักเสบซีในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี และบริการตรวจคัดกรอง และตรวจยืนยันมะเร็งลำไส้ใหญ่ในกลุ่มอายุ 50-70 ปี

         "ที่ประชุมยังมีมติในส่วนรายการบริการที่มีการจ่ายแบบระบบปลายเปิด ได้แก่ รายการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว เฉพาะประเภทบริการกรณีเฉพาะและบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP) และรายการค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ให้ สปสช.ติดตามกำกับและควบคุมประสิทธิภาพการดำเนินงาน และหากมีผลการบริการมากกว่าเป้าหมายหรืองบประมาณที่ได้รับในปีงบประมาณ 2561 ไม่เพียงพอ ภายหลังจากปรับประสิทธิภาพเต็มที่แล้ว ให้ สปสช.รวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอของบเพิ่มเติมตามความเหมาะสมต่อไป" นพ.ศักดิ์ชัย กล่าว