บันเทิง

เพลงอำลาที่ไม่มีใครได้ฟังของ เชต เบเกอร์

เพลงอำลาที่ไม่มีใครได้ฟังของ เชต เบเกอร์

04 ก.ย. 2557

เพลงอำลาที่ไม่มีใครได้ฟังของ เชต เบเกอร์ : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเดชะ


          ชีวิตของ เชต เบเกอร์ (Chet Baker) เป็นตำนาน เป็นบทเรียน เป็นความรื่นรมย์ และเป็นเรื่องเศร้า

          ความเศร้านั้นเป็นจุดขายในบทเพลงของนักทรัมเป็ตผู้โด่งดังมาพร้อมกับความ ‘คูล’ ผู้นี้มาตั้งแต่เริ่มแรก เสียงทรัมเป็ตของเขาเศร้าอ้อยสร้อย เสียงร้องเพลงของเขายิ่งอ้อยอิ่งและหม่นมัว แม้เขาจะร้องเพลงที่มีจังหวะรื่นเริง ก็ยังฟังดูเศร้าอยู่ดี

          เชต เบเกอร์ เกิดเมื่อปี 1929 ในครอบครัวของนักดนตรีที่ฝึกให้เขาร้องเพลงและเล่นเครื่องเป่า เขาเลือกทรัมเป็ตเป็นเครื่องดนตรีคู่ใจตั้งแต่วัยรุ่น พออายุ 16 เชตก็ออกจากบ้านไปสมัครเป็นทหาร เขาเล่นดนตรีอยู่กับวงของกองทัพ ชีวิตนักดนตรีอาชีพของเชตเริ่มต้นที่ซานฟรานซิสโก เขาได้เล่นทรัมเป็ตในวงของ วิโด มัสโซ ก่อนจะไปเล่นกับนักแซกโซโฟนชื่อดัง สแตน เกตซ์ ต่อด้วยวงของ ชาร์ลี ปาร์กเกอร์ แล้วตามด้วยวงของ เจอรี่ มัลลิแกน ในช่วงนี้เองที่เขาได้บันทึกเสียงเพลง My Funny Valentine ในเวอร์ชันเศร้าสร้อยร่วมกับวงดนตรีวงนี้ แล้วมันก็กลายเป็นเพลงประจำตัวเพลงหนึ่งของเชตไปในที่สุด

          ชีวิตของเขาทะยานสู่ชื่อเสียง เขาตั้งวงของตัวเอง เริ่มบันทึกเสียงเพลงที่ตัวเองได้โชว์เสียงร้องด้วย อัลบั้ม Chet Baker Sings (1956) เป็นกลายเป็นงานดัง เขาไปทัวร์ยุโรป ออกอัลบั้มอีก ชวนนักดนตรีเก่งๆ มาตั้งวงใหม่อีก แถมฮอลลีวู้ดยังเห็นว่าหน้าตาของเขาดูเข้าที เชตก็เลยได้ไปแสดงหนังอีกด้วย

          และช่วงที่เขาเริ่มดังระเบิดนี่เอง ข่าวอีกด้านของ เชต เบเกอร์ ก็เริ่มผุดขึ้นมา นั่นคือเรื่องยาเสพติด

          ต้นทศวรรษ 60 เชตต้องติดคุกที่อิตาลีเพราะมียาเสพติดในครอบครอง ชีวิตหลังจากออกจากคุกของเชตเริ่มดูไม่มั่นคง เชตถูกจับด้วยข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดอีกหลายหนในหลายประเทศ จนปลายยุค 60 ชีวิตของเชตก็มาถึงจุดล่มสลายอย่างแท้จริง เขาแทบจะหยุดเล่นดนตรีไปเลย แต่ก็เหมือนโน้ตดนตรีที่บรรเลงเรื่อยไป เมื่อมีโน้ตเสียงต่ำก็ย่อมมีโน้ตเสียงสูง ต้นทศวรรษ 70 เขากลับมาเล่นดนตรีได้อีกครั้ง แต่ชีวิตของเขาก็ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ต่อไปอีก เชตมีอัลบั้มจำนวนมหาศาลแต่ส่วนหนึ่งเป็นงานที่คุณภาพไม่ค่อยดีนัก คือมักจะเป็นงานที่ต้องรีบออกเพราะรีบเอาเงินไปซื้อยา

          เชตใช้ชีวิตในวัย 50 ปีอยู่ในยุโรปเป็นส่วนใหญ่ ฉากสุดท้ายของเขาจบลงแบบน่าเศร้าในปี 1988 เมื่อมีคนพบศพเขาที่ร่วงหล่นจากหน้าต่างโรงแรมในเมืองอัมสเตอร์ดัม ...การชันสูตรศพพบว่าร่างกายของเขามีเฮโรอีนและโคเคนในปริมาณที่บ่งบอกว่า เขายังเล่นยาอย่างหนักหน่วงแม้จะอายุใกล้ 60 แล้ว
          
          เชต เบเกอร์ บรรเลงบทเพลงมาหลายหมื่นเพลงตลอดชีวิตนักดนตรี...บางทีอาจจะถึงหลักแสน แต่ในห้วงโมงยามสุดท้าย ไม่มีใครรู้ว่าเพลงที่เขาบรรเลงเพื่ออำลาชีวิตอันแสนเศร้าคือเพลงอะไร

          มีเพียงนักร้อง-นักแต่งเพลงชาวอเมริกันชื่อ เดวิด วิลคอกซ์ (David Wilcox) เท่านั้น ที่พยายามคาดเดา

          เดวิดเป็นศิลปินที่สร้างชื่อมาในทางโฟล์ก น่าประหลาดใจเหมือนกันที่จู่ๆ เขาก็แต่งเพลงเกี่ยวกับความตายของนักดนตรีแจ๊ซชื่อดังขึ้นมา

          เพลงนี้ชื่อว่า Chet Baker’s Unsung Swan Song อยู่ในอัลบั้ม Home Again (1991)

          บทเพลงเริ่มต้นด้วยเสียงทรัมเป็ตเหงาเดียวดาย ก่อนที่เดวิดจะเริ่มร้องคลอไปกับเสียงกีตาร์บางเบา จังหวะเชื่องช้า แต่ละถ้อยคำค่อยๆ หลุดออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย

          “My old addiction
          Changed the wiring in my brain
          So that when it turns the switches
          Then I am not the same”

          เดวิดเล่าผ่านมุมมองของ เชต เบเกอร์ ในห้วงเวลาอันแสนอ้างว้าง โดยอ้างถึงอาการเสพติดที่นักทรัมเป็ตชื่อดังเป็นมาเนิ่นนานจนได้เปลี่ยนแปลงตัวตนภายในไปจนหมดสิ้นแล้ว ก่อนจะเปรียบเปรยว่าบางส่วนในตัวเชตที่ตายไปแล้วนั้น ผลักดันให้เขาเอาร่างกายออกไปนอกหน้าต่าง เหมือนกับมวลดอกไม้ที่โหยหาแสงตะวัน ในยามที่ฤดูใบไม้ผลิหนีหายไปแล้ว

          ทุกท่อนเพลงเริ่มต้นด้วยวลี “My old addiction” - อาการเสพติดอันเก่าแก่ แล้วการเปรียบเปรยอันงดงามต่อสภาวะสุดท้ายที่น่าเศร้านี้ก็ดำเนินต่อไปจนท่อนสุดท้าย เดวิดตั้งประเด็นไร้เดียงสาถึงเพลงอำลา (หรือ Swan Song ตามขนบของโศกนาฏกรรมกรีก ที่ว่ากันว่าหงส์จะร้องเพลงอันแสนไพเราะออกมาในวาระสุดท้ายของชีวิต) เขาคิดว่าถ้าหากหงส์มีเพลงอำลาของตัวเอง เชต เบเกอร์ จะต้องรู้จักท่วงทำนองนั้นเป็นอย่างดีแน่ๆ

          เดวิดเคยบอกว่า ความตายของนักทรัมเป็ตคนนี้มันสร้างแรงบันดาลใจให้เขาแต่งเพลงนี้ แล้วในทางหนึ่ง เพลงนี้ก็ ‘ช่วยชีวิต’ เดวิดไปด้วย เพราะเขาเองก็มี ‘อาการเสพติดอันเก่าแก่’ ที่ต้องต่อสู้มาตลอดเช่นกัน เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองเสพติดอะไร แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องรู้ก็ได้

          จริงๆ แล้วเรื่องที่น่ารู้กว่าคือ แล้วเราเองล่ะ เสพติดอะไรอยู่หรือเปล่า?

          เดวิด วิลคอกซ์ สร้างเพลงอำลาจำลองทดแทนเพลงอำลาในชีวิตจริงของ เชต เบเกอร์ ที่ไม่มีใครได้ฟัง เขาสร้างเพลงนี้เพื่อจะได้ใช้ร้องเตือนใจตัวเอง และไม่ต้องร้องเพลงอำลาให้กับชีวิตของตัวเอง

          และถ้าหากคนฟังเพลงจะคิดไปไกลกว่านั้น เพลงนี้ยังอาจใช้ถามใจเราได้ด้วยว่า วาระสุดท้ายแบบไหนที่เราควรจะมี และเราจะยังปล่อยให้  ‘อาการเสพติดอันเก่าแก่’ ของเราอยู่กับเราไปจนถึงวาระนั้นด้วยหรือไม่

.......................................
(หมายเหตุ เพลงอำลาที่ไม่มีใครได้ฟังของ เชต เบเกอร์ : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเดชะ )