บาห์รุน นาอีมผู้ชักใยจากรัคกาสู่โจมตีจาการ์ตา
บาห์รุน นาอีมผู้ชักใยจากรัคกาสู่โจมตีจาการ์ตา
การโจมตีกรุงจาการ์ตาเมื่อวันที่ 14 มกราคม ด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย และยิงกราดในย่านศูนย์การค้าซารีนาห์ ย่านการค้าสำคัญกลางนครหลวงของอินโดนีเซีย แม้ไม่ได้สร้างความสูญเสียในชีวิตมากมายแบบที่เกิดขึ้นในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยเหยื่อระเบิดและกระสุน 7 คน เป็นผู้ก่อเหตุ 5 คน จะด้วยศักยภาพยังไม่ถึง ไม่ได้ใช้อาวุธอานุภาพสูง ขาดการวางแผนซับซ้อน หรือด้วยเหตุผลใดก็ตามที แต่ทำให้ความหวาดวิตกที่มีมานานว่า การโจมตีในนามของไอเอส จะเกิดขึ้นวันหนึ่งในภูมิภาคได้มาถึงแล้ว ทำให้การมีอยู่ของไอเอสในประเทศมุสลิมใหญ่ที่สุดในโลก ดินแดนที่เชื่อกันว่า ไอเอสหวังตั้งอาณาจักรอิสลาม หรือคาลิฟะห์ห่างไกลนอกตะวันออกกลาง เป็นที่รับรู้ทั่วโลก และทำให้ช่วงเวลาสงบสุขปลอดก่อการร้ายของกรุงจาการ์ตามานานหลายปีต้องสะดุดหยุดลง
จากถ้อยแถลงของ พล.ต.อ.ติโต คาร์นาเวียน ผู้บัญชาการตำรวจจาการ์ตาและอดีตหัวหน้าหน่วยต่อต้านก่อการร้าย “เดนซุส 88” ของอินโดนีเซีย ในวันเดียวกับที่เกิดเหตุ ระบุว่า ตำรวจมีเหตุผลมากพอเชื่อได้ว่า นายมูฮะหมัด บาห์รุน นาอีม ผู้นำกลุ่มคาติบะห์ นูซานตารา คือผู้บงการการโจมตีครั้งแรกของไอเอสในอินโดนีเซีย ซึ่งคร่าชีวิตพลเรือน 2 คน เป็นชาวแคนาดา 1 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 20 คน ตามคำแนะนำของนายอาบู บัคร์ อัล บัคดดา ผู้นำสูงสุดของไอเอส ที่ต้องการให้สาวกก่อการโจมตีนอกซีเรียและในอิรัก
บาห์รุน นาอีม ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหน่วยความมั่นคงอินโดนีเซีย ที่รู้ความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด
ในเว็บบล็อกที่แหล่งข่าวหน่วยต่อต้านก่อการร้ายอินโดนีเซียติดตามมานาน 2 ปี จนเชื่อว่าเป็นของบาห์รุน นาอีมเอง หรือโดยคนที่โพสต์ในนามของเขา ระบุว่า นาอีม เป็นผู้สื่อข่าวอิสระเชี่ยวชาญกิจการมุสลิม สนใจการเมือง ยุทธศาสตร์และข่าวกรอง เกิดเมื่อปี 2526 สำนักข่าวบางแห่งระบุว่า เคยทำงานเป็นช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ และเปิดร้านอินเทอร์เน็ตเล็กๆ อยู่ในเมืองสุราการ์ตา
เมื่อพฤศจิกายน 2553 หน่วยต่อต้านก่อการร้ายอินโดนีเซีย ได้เข้าจับกุมและยึดกระสุนหลายร้อยนัดจากบ้านพักของเขาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองโซโล จ.ชวากลาง ต่อมาถูกศาลเขตสุราการ์ตาตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปีครึ่ง ฐานละเมิดกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินว่าด้วยการครอบครองอาวุธผิดกฎหมาย แต่ศาลไม่มีหลักฐานมากพอเอาผิดในข้อหาพัวพันเครือข่ายก่อการร้าย
หลังได้รับอิสรภาพ นาอีมกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในเครือข่ายก่อการร้ายในชวาและสุลาเวสี โดยพื้นที่หลังเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มมูจาฮีดีนอินโดนีเซียตะวันออก (เอ็มไอที) ภายใต้การนำของ นายอาบู วาดะห์ ซันโตโซ ที่ประกาศสวามิภักดิ์ไอเอส และเป็นผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายที่ทางการอินโดนีเซียต้องการตัวมากที่สุด ว่ากันว่า บุคคลผู้นี้เป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างเอ็มไอทีในสุลาเวสีกับไอเอสในตะวันออกกลาง ก่อนเดินทางไปร่วมกับไอเอสในซีเรียเมื่อปี 2558 ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเมืองรัคกา ฐานที่มั่นของไอเอสทางเหนือของซีเรีย
จาการ์ตาโพสต์ รายงานว่า นาอีมกลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว หลังการหายตัวไปของ สิริ เลสตารี นักศึกษาสาวจากมหาวิทยาลัยมูฮัมมาดิยะห์ สุราการ์ตา โดยมีรายงานว่าเธอแต่งงานกับบาห์รุน นาอีม เมื่อปี 2557
หลังย้ายไปปักหลักที่ซีเรีย บาห์รุน นาอีม ได้ตั้งหน่วยย่อยชื่อ “คาติบะห์ อัล นูซานตารา” วาดฝันที่จะรวบรวมกลุ่มก้อนสาวกไอเอสทั้งหลายในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นหนึ่งเดียว ขณะพยายามรับสมัครและวางแผนโจมตีในประเทศบ้านเกิด โดยแม้อยู่ในซีเรียแต่ก็ส่งเงินกลับมาบ้านเพื่อใช้ในการโจมตี ทางการเชื่อว่า ชาวจีนคนหนึ่งจากชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ที่ถูกรวบตัวชานกรุงจาการ์ตาเมื่อเดือนที่แล้ว ได้รับทุนสนับสนุนจากนาอีมเช่นกัน
ผู้บัญชาการตำรวจจาการ์ตา กล่าวว่า บุคคลผู้นี้ต้องการเป็นใหญ่ในสายของไอเอสในย่านเอเชียอาคเนย์ แต่มีหลายคนจากเอเชียที่แย่งตำแหน่งนี้กันอยู่ การโจมตีเมื่อวันพฤหัสบดีก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า คู่ควรกับตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจจาการ์ตาเตือนด้วยว่า คาติบะห์ฯ กำลังขยายปฏิบัติการทั่วภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลซีย ฟิลิปปินส์ และไทย
ในเว็บบล็อกของเขาเต็มไปด้วยแนวทางคำสอนของไอเอส แนะนำวิธีหลบเลี่ยงหน่วยข่าวกรอง วิธีการประดิษฐ์ปืนสั้น การทำระเบิด แซ่ซ้องยินดีต่อการโจมตีโดยผู้ฝักใฝ่ไอเอส
บทความหนึ่งบนเว็บนี้เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ใช้หัวเรื่องว่า “บทเรียนจากการโจมตีปารีส” นาอีมยกย่องการโจมตีกรุงปารีสเมื่อ 3 วันก่อนหน้านั้น ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 130 คน ว่า เป็นปฏิบัติการน่าทึ่ง ชื่นชมผู้ลงมือในความมีวินัย วางแผนแยบยล และเจตนารมณ์สละชีวิตตัวเอง พร้อมแนะผู้ติดตามว่า การเปลี่ยนจากสงครามกองโจรในป่าอินโดนีเซียมาเป็นในเมือง ไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้ศึกษาการวางแผน การเลือกเป้า จังหวะเวลา การประสานงาน ระบบรักษาความปลอดภัย และความหาญกล้าจากผู้ก่อเหตุในปารีส
สำนักข่าวรอยเตอร์สเคยติดต่อสนทนากับบุคคลชื่อ บาห์รุน นาอีม เมื่อ 24 พฤศจิกายน ผ่านทางแอพพลิเคชั่น “เทเลแกรม” ซึ่งเป็นการสนทนาออนไลน์แบบเข้ารหัส โดยได้รายละเอียดจากผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งในการติดต่อ นาอีมอ้างว่า ในอินโดนีเซียมีผู้สนับสนุนไอเอสเหลือเฟือที่พร้อมลงมือโจมตี แค่รอเวลาจังหวะเหมาะเท่านั้น
ฝ่ายข่าวประเมินว่า มีชาวอินโดนีเซียมากกว่า 1,000 คน ที่ประกาศภักดีต่อไอเอสนับจากมิถุนายน 2557 และพวกเขาเหล่านี้ได้รับการร้องขอให้แสดงความภักดีต่อผู้นำ
หลังจากการติดต่อทางเทเลแกรมไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ข่าวกรองเริ่มดักการสนทนาในห้องโซเชียล จนรู้ว่าการโจมตีครั้งแรกของไอเอสกำลังใกล้เข้ามา และความพยายามดักการสื่อสารต่อเนื่อง ช่วยให้ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายคนที่มีแผนโจมตีช่วงคริสต์มาสและปีใหม่
ระหว่างการบุกจับพบวัตถุประกอบระเบิด เสื้อสำหรับติดระเบิดฆ่าตัวตายและคู่มือของผู้ก่อการร้าย การจับกุมบางครั้งยังพบว่า ผู้ต้องสงสัยได้รับทุนและการสนับสนุนจากบาห์รุน นาอีม ผู้มีความเชื่อว่า อินโดนีเซียสมควรเป็นประเทศอิสลามเคร่งครัด
อินโดนีเซียมีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก และอยู่ร่วมกับศาสนาอื่นๆอย่างไม่มีปัญหา มีส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่มีแนวคิดรุนแรง แต่ในสองสามปีให้หลังทางการต้องรับมือกับความตึงเครียดระหว่างสายกลางกับสายแข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นแรงกระเพื่อมที่ส่งมาจากความขัดแย้งในซีเรียและการขยายตัวของไอเอส
สงครามกลางเมืองซีเรีย นอกจากเป็นแรงบันดาลให้ผู้ฝักใฝ่ใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ในอินโดนีเซียหลายร้อยเดินทางไปแนวหน้าซีเรีย ในประเทศยังมีกลุ่มสุดโต่งที่ก่อเหตุโจมตีย่อมๆ ประปรายทั้งในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่อ้างว่าทำในนามไอเอส
ซิดนีย์ โจนส์ ผู้เชี่ยวชาญก่อการร้ายและผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์นโยบายความขัดแย้งในกรุงจาการ์ตา กล่าวว่า ช่วง 6 เดือนมานี้ กลุ่มสุดโต่งพยายามพิสูจน์ว่าพวกเขายังอยู่ดีในอินโดนีเซียและมุ่งมั่นสานเจตนารมณ์ของไอเอส
ด้าน นาซีร์ อาบาส ผู้เชี่ยวชาญก่อการร้ายมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย แสดงความเห็นว่า การก่อเหตุโจมตีจาการ์ตามีเป้าหมายคือ เพื่อประกาศและยอมรับการมีอยู่ของไอเอสในอินโดนีเซียอย่างไม่มีข้อกังขา
ผู้บัญชาการตำรวจจาการ์ตา กล่าวว่า นาอีมวางแผนโจมตีอินโดนีเซียมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะฝันจะเป็นผู้นำไอเอสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความแตกต่างระหว่างไอเอสกับกลุ่มก่อการร้ายอย่างเจไอ ที่ก่อเหตุโจมตีนองเลือดหลายครั้งในอดีต หรืออัล-ไกดา คือกลุ่มแรกอันตรายกว่ามาก เพราะอุดมการณ์เปิดทางให้สังหารคนมุสลิมด้วยกัน แบบที่กลุ่มอื่นที่ก่อเหตุก่อนหน้านี้ไม่ทำ
คาติบะห์ นูซานตารา (Katibah Nusantara) เป็นการรวมตัวของนักรบพูดภาษามาเลย์จากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และพื้นที่อื่นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คล้ายกับเมื่อครั้งที่ชายหนุ่มอินโดนีเซียและมาเลเซียเดินทางไปฝึกและร่วมรบขับไล่สหภาพโซเวียตออกจากการยึดครองอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษที่ 1980 ถูกเกณฑ์และโน้มน้าวมาร่วมกับกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยะห์ (เจไอ) แต่เป็นไปในระดับที่กว้างใหญ่กว่า
งานวิจัยที่สถาบันระหว่างประเทศศึกษา เอส.ราชารัตนัม ในสิงคโปร์ เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว ระบุว่า นักรบกลุ่มคาติบะห์ นูซันตารา รบยึดพื้นที่ที่กองกำลังชาวเคิร์ดในซีเรียยึดครองมาได้เมื่อเมษายน 2558 ผลงานนี้ช่วยหนุนความพยายามเกณฑ์นักรบหน้าใหม่และผู้สนับสนุนที่พูดภาษามาเลย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี และการเติบโตของคาตีบะห์ นูซันตารา อาจมีผลต่อกระบวนการวางยุทธศาสตร์ของไอเอส ให้หันมายกระดับความสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นอีกสมรภูมิของกลุ่ม