ข่าว

ฟิเดล คาสโตร ในวัย 90 ปี กับการปฏิวัติที่ยังไม่สิ้นสุด

ฟิเดล คาสโตร ในวัย 90 ปี กับการปฏิวัติที่ยังไม่สิ้นสุด

21 ส.ค. 2559

เปิดโลกวันอาทิตย์ โดย บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์

 

          ไม่เบื่อกันบ้างหรือไรหนอกับการตั้งคำถามจำเจซ้ำซาก จนเหมือนกับกลายเป็นประเพณีไปแล้วว่าทุกวันที่ 13 สิงหาคมของทุกปี สื่อยักษ์ใหญ่ยักษ์แคระของแดนดินถิ่นอินทรีผยองสหรัฐและพันธมิตรตะวันตกอย่างนิตยสารไทม์และหนังสือพิมพ์การ์เดียนจะพาดหัวว่า “อะไรจะเกิดขึ้นถ้าสิ้น ฟิเดล คาสโตร " ถ้าเป็นปีธรรมดาๆ ก็จะพาดหัวเล็กหน่อย แต่ทุกๆ 10 ปีในโอกาสที่มหาบุรุษเหล็กฟิเดล คาสโตร มีอายุครบ 70 ปี 80 ปี และล่าสุดก็ ในโอกาสครบ 90 ปี พาดหัวก็จะขยายใหญ่ไปตามตัว ในช่วงหลังๆ นี้ คำถามอาจจะพัฒนาขึ้นเล็กน้อย เมื่อพาดหัวข่าวว่า “อะไรจะเกิดขึ้นถ้าสิ้นพี่น้องคาสโตร" ด้วยการเหมารวมประธานาธิบดีราอูล คาสโตร น้องชายแท้ๆ วัย 85 ปีของฟิเดล คาสโตรเข้าไปด้วย

         นับเป็นคำถามเดิมๆ เหมือนกับที่เคยตั้งคำถามว่าถ้าคนโตตัวเล็กเติ้ง เสี่ยว ผิง ตาย แดนมังกรจีนจะเป็นเช่นใด

 

ฟิเดล คาสโตร ในวัย 90 ปี กับการปฏิวัติที่ยังไม่สิ้นสุด

( ภาพ AFP ) 

 

          ฟิเดล คาสโตร เจ้าของสารพัดฉายา อาทิ นักปฏิวัติสังคมนิยมตามแนวทางสตาลินคนสุดท้ายของโลก ต้นแบบนักปฏิวัติตัวจริงแห่งศตวรรษที่ 20 แมวเก้าร้อยชีวิตแห่งคิวบา และคนเดนตายในสายตาของซีไอเอ แจ็กผู้ฆ่ายักษ์ เดวิดผู้พิชิตยักษ์โกไลแอต ฯลฯ ได้ตอบคำถามน่าเบื่อหน่ายนี้เป็นนัยๆ มาตลอดช่วงกว่าครึ่งศตวรรษนั่นก็คือการคงไว้ซึ่งหนวดเครารกรุงรัง จนเป็นสัญลักษณ์โดดเด่นของเจ้าตัวคู่กับซิการ์และชุดทหารที่เคยประกาศอภิมหาอมตะวาจาไว้ว่า "ตราบใดที่การปฏิวัติยังไม่สิ้นสุดก็จะไม่ยอมโกนหนวดเคราทิ้ง”

          มาถึงตอนนี้ หลายคนอาจตีความว่าเป็นการบอกใบ้ว่าเมื่อตัวเองสิ้นชีวิตแล้ว คิวบาจะคงไว้ซึ่งการปฏิวัติตลอดกาลหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนรุ่นใหม่จะตัดสินอนาคตกันเอง อย่างเก่งที่สองพี่น้องฟิเดลและราอูลน้องชาย ทำได้ก็ด้วยการเดินตามรอยเติ้ง เสี่ยว ผิง นั่นก็คือเตรียมคนที่เหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำในอนาคตให้พร้อมไว้เท่านั้น

         ขณะที่ชาวคิวบาหลายคนต่างให้ความเห็นคล้ายคลึงกันกันว่าเป็นคำถามที่มีค่ามหาศาลนับพันล้านล้านดอลลาร์ และคำตอบก็เห็นโต้งๆ อยู่ตรงหน้าว่านั่นก็คือ 60 ปีที่แดนดินถิ่นอินเดียนแดงละเลงภาพคิวบาว่าเป็นอักษะที่แสนชั่วร้าย แต่ใครกันล่ะที่กลืนน้ำลายตัวเองเป็นฝ่ายง้องอนขอคืนด้วย ถึงขนาดประธานาธิบดีบารัก โอบามา ยอมลงทุนเดินทางเยือนกรุงฮาวานาเป็นครั้งแรกเมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับตบหน้าอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน 9 คนก่อนหน้ารวมไปถึงอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี อดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน และอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช พ่อลูก ที่เคยต่อกรกับฟิเดล คาสโตร อย่างถึงพริกถึงขิงนานถึง 48 ปีเต็มก่อนที่ฟิเดลจะยอมถอดหัวโขนทิ้งเมื่อปี 2551

ฟิเดล คาสโตร ในวัย 90 ปี กับการปฏิวัติที่ยังไม่สิ้นสุด

( ภาพ AFP ) 

 

          มองเผินๆ เหมือนกับโอบามาเป็นบุรุษสันติภาพที่ต้องการจับมือคืนดีกับอภิมหาศัตรูเก่าตลอดกาล แต่คนอย่างพี่น้องคาสโตรหรือจะยอมหลงคารมหรือหลงระเริงไปกับภาพลวงตาตรงหน้า ลึกๆลงไปแล้วก็คงตระหนักดีว่าโอบามาหรือจะกล้าทำเช่นนี้ หากไม่มีกลิ่นน้ำมันมูลค่ามหาศาลลอยอบอวลอยู่ตรงหน้า หลังจากคิวบาพบแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเมื่อปี 2547 คาดว่ามีปริมาณน้ำมันกว่า 5 พันล้านบาร์เรล และนี่ก็คือหนึ่งในมรดกที่คาสโตรทิ้งให้ลูกหลาน ไม่บุ่มบ่ามรีบขุดมาใช้จนอาจกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะการทุจริตคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่เหมือนกับหลายๆ ประเทศ

          ที่สำคัญก็คือขณะที่ผู้นำทำเนียบขาวโดยเฉพาะซีไอเอแกล้งทำเป็นลืมถึงสิ่งที่เคยทำไว้กับคาสโตรผู้พี่ แต่ผู้เฒ่าฟิเดล ผู้เคยสร้างประวัติศาสตร์ยืนปราศรัยนานมาราธอนคนเดียวโดยไม่มีโพยล่วงหน้าร่วม 10 ชั่วโมง คงไม่มีวันลืมถึงสิ่งที่ทำเนียบขาวไฟเขียวให้ซีไอเอ  หาสารพัดวิธีลอบสังหารตัวเองให้ด่าวดิ้น นับเป็นประสบการณ์ที่หาผู้นำคนไหนเสมอเหมือน จนสอนให้รู้ว่าถ้าเจอควายป่าดุร้ายกับเจอคาวบอยมะกัน ให้ตีคาวบอยมะกันก่อน ไม่เช่นนั้นจะแว้งกัดจนตายเหมือนกับที่เคยทำและกำลังทำกับหลายๆ ประเทศในทั่วทุกมุมโลก รวมไปถึงกับอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนแห่งอิรัก อดีตหุ่นเชิดซีไอเอเก่ากับโมอัมมาร์ กัดดาฟี แห่งลิเบียที่ดวงไม่ดีเท่า จึงมีอันด่าวดิ้นจากฝีมือของสหรัฐและพันธมิตร

 

ฟิเดล คาสโตร ในวัย 90 ปี กับการปฏิวัติที่ยังไม่สิ้นสุด

( ภาพ AFP ) 

 

          เมื่อปี 2549 สถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษเคยนำแผนลอบสังหารคาสโตรบางแผนมาทำเป็นสารคดีเรื่อง “638 แผนสังหารคาสโตร” สะท้อนให้เห็นว่าตลอดช่วงกว่าครึ่งศตวรรษนับตั้งแต่คาสโตรขึ้นมามีอำนาจเมื่อปี 2502 ซีไอเอยอมทุ่มทั้งทุนและเวลากับการวางแผนลอบสังหารรวมแล้ว 638 ครั้ง ทั้งด้วยวิธีลับและการกระทำอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ทั้งด้วยวิธีเลือดเย็นหรือวิธีประหลาดที่หลายคนให้ความเห็นว่าแสนจะงี่เง่า ฮอลลีวู้ดเองเคยนำแผนบางแผนไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์รวมไปถึงสอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์สุดยอดสายลับเจมส์ บอนด์

          สารพัดแผนลอบสังหารคาสโตรภายใต้ชื่อปฏิบัติการต่างๆ โดยเฉพาะ “ปฏิบัติการพังพอน” มีตั้งแต่วิธีพื้นๆ อย่างลอบวางยาพิษ หรือบุกยิงประชิดตัว อาทิ แอบผสมยาพิษในซิการ์ที่ฟิเดลสูบเป็นประจำ หรือทำซิการ์ระเบิดแต่แผนนี้ถูกยกเลิกไปก่อน ใช้ชู้รักคนหนึ่งของคาสโตรวางยาพิษแต่ถูกจับได้เสียก่อน ใช้ชู้รักอีกคนหนึ่งใส่พิษแบคทีเรียในผ้าเช็ดหน้า ถ้วยชาและกาแฟ หรือใส่ยาพิษในปากกาหมึกซึม หรือไอศกรีม หรือผสมยาพิษในยาแอสไพริน ใส่ยาพิษลงไปในมิลค์เชกช็อกโกแลตที่คาสโตรจะดื่ม

ฟิเดล คาสโตร ในวัย 90 ปี กับการปฏิวัติที่ยังไม่สิ้นสุด

( ภาพล่าสุดเมื่อ 13 ส.ค สนทนากับประธานาธิบดีนิโกลาส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ภาพ AFP )

 

          นอกจากนี้ยังมีวิธีประหลาดๆ อาทิ ผลิตชุดดำน้ำสกูบาที่ปนเปื้อนสารพิษเพื่อให้เป็นโรคผิวหนัง ใส่สารปนเปื้อนชนิดหนึ่งลงไปในรองเท้าบู๊ทเพื่อให้หนวดเคราของคาสโตรหลุดร่วงระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติ วางแผนสลับกล่องซิการ์ของคาสโตรกับซิการ์ปนเปื้อนสารแอลเอสดีเพื่อให้คาสโตรระเบิดเสียงหัวเราะระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ลอบวางระเบิดในหอยขนาดใหญ่ทาสีให้สะดุดตากะให้ระเบิดเวลาคาสโตรดำน้ำเล่นในทะเลแคริบเบียน รวมไปถึงแผนลอบวางระเบิดขณะไปเยือนพิพิธภัณฑ์เออร์เนส เฮมมิงเวย์ แต่แผนลอบสังหารที่โด่งดังไปทั่วโลกก็คือการแอบซุกระเบิด 90 กก.ไว้ใต้แท่นปราศรัยที่คาสโตรจะขึ้นกล่าวระหว่างเยือนปานามาเมื่อปี 2543 แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยของคาสโตรพบเห็นเสียก่อน

          สารพัดแผนลอบสังหารแต่ล้มเหลวเหล่านั้น ทำให้ชีวิตของฟิเดล คาสโตร ยิ่งกลายเป็นตำนานคู่กับประวัติศาสตร์การสร้างชาติใหม่ของคิวบา จนเป็นที่มาของสมญาแมวอมตะเก้าร้อยชีวิต 

          คาสโตรเองเคยพูดติดตลกถ้าหากการพยายามลอบสังหารตัวเองเป็นกีฬาประเภทหนึ่งของกีฬาโอลิมปิก ตัวเองก็คงครองเหรียญทองแล้ว

 

ฟิเดล คาสโตร ในวัย 90 ปี กับการปฏิวัติที่ยังไม่สิ้นสุด

( ภาพ AFP ) 

 

          ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมไปถึงปฏิบัติการทางจิตวิทยาผสมกับการโฆษณาชวนเชื่อภายใต้ปฏิบัติการนอร์ธวู้ดพุ่งเป้าละเลงภาพบุรุษเหล็กคิวบาว่าเป็นเผด็จการ เป็นจอมมารร้ายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติ อาทิ การปล่อยข่าวลวงว่าเป็นพวกนอกศาสนา เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ การปล่อยข่าวลือข่าวลวง หรือจัดฉากจลาจลปลอมๆ เพื่อให้มะกันชนหวาดกลัวคอมมิวนิสต์จนนำไปสู่การสร้างฉันทามติเห็นชอบให้ดำเนินการทางทหารกับคิวบา นั่นก็คือการส่งทหารบุกอ่าวหมูแต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ว่าไปแล้วก็เป็นแผนเดียวกับที่สหรัฐทำกับซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรัก ซึ่งภายหลังมีการเปิดโปงว่ากระบวนการสร้างข่าวลวงนั้นได้ทำอย่างเป็นระบบ นำโดยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช จอมมารร้ายตัวจริงเสียงจริง

          ถึงแม้ว่าสารพัดแผนลอบสังหารกว่า 600 ครั้งจะล้มเหลว แต่ทำให้ชีวิตส่วนตัวของคาสโตรต้องเปลี่ยนไป จากเดิมที่มักจะเดินไปสำรวจชีวิตชาวบ้านคนเดียวไม่มีองครักษ์คอยตามติด แต่หลายสิบปีมานี้กลายเป็นผู้นำที่มีการปิดลับชีวิตส่วนตัวมากที่สุดในโลก รวมไปถึงต้องเปลี่ยนรังลับกว่า 20 แห่งเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นบทเรียนของกัดดาฟีมาแล้ว ที่จู่ๆ สหรัฐส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปถล่มรังลับแห่งหนึ่ง ทำให้ลูกสาวบุญธรรมเสียชีวิต

 

ฟิเดล คาสโตร ในวัย 90 ปี กับการปฏิวัติที่ยังไม่สิ้นสุด

( ภาพ AFP ) 

 

          นักวิชาการและผู้สันทัดกรณีคิวบาหลายคนต่างเชื่อว่าสองพี่น้องคาสโตรเองก็ไม่ประมาทในชีวิตและได้เตรียมทายาทการเมืองไว้ล่วงหน้า เหมือนกับเติ้ง เสี่ยว ผิง ที่คิดการณ์ยาวไกลเตรียมการตั้งทายาทการเมืองและวางสายคุมอำนาจบริหารที่ทำเนียบจงหนานไห่ไว้ล่วงหน้าถึง 4 รุ่น แต่ละรุ่นจะสานต่อแนวทางสังคมนิยมผสมผสานกับตลาดเสรีจนทำให้แดนมังกรจีนกลายเป็นมหาอำนาจอย่างเช่นทุกวันนี้

          อย่างไรก็ดี โลกภายนอกยังสืบรู้ไม่ได้ว่าพี่น้องคาสโตรมองการณ์ไกลถึงเพียงนั้นหรือไม่ หรือแค่วางตัวทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อจาก ราอูล คาสโตร เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ มิเกล ไดแอซ คาเนล รองประธานาธิบดีคนที่ 1 ที่ทำตัวเงียบเชียบไม่เป็นข่าวดังใดๆ

          กระนั้น สื่อตะวันตกไม่วายหยอดเหมือนกับโยนหินถามทางว่าหากปราศจากการสนับสนุนจากกองทัพและพรรคคอมมิวนิสต์คิวบา การขึ้นมาเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของคาเนล สืบต่อจากราอูล ซึ่งประกาศว่าพร้อมสลัดหัวโขนทิ้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า ก็แทบไม่มีความหมายแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคาเนลยังมีบารมีไม่มากพอ เนื่องจากมีอายุแค่ 55 ปี จึงจำต้องอาศัยบารมีของสองพี่น้องคาสโตรคุ้มหัวไปก่อน แต่การมีอายุน้อยก็ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งเพราะอ้างได้ว่าเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ ที่เริ่มลืมเลือนถึงคุณูปการใหญ่ของฟิเดล คาสโตร ในฐานะนักปฏิวัติที่ยืนหยัดต่อกรกับมหาอำนาจอเมริกา ผู้ต้องการจะยึดคิวบาเป็นอาณานิคมยุคใหม่ให้ได้ เหมือนที่ทำกับหลายประเทศในทั่วทุกมุมโลก