ข่าว

เสียงครวญของชาวดัตช์ ที่นี่คือมรดกโลก ไม่ใช่ดิสนีย์แลนด์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์

 

( ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับ 24- 25 พ.ค. 62 ) อัมสเตอร์ดัมกำลังกลายเป็น “เวนิส 2” นั่นก็คือมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าประชากรในเมืองเสียอีก จนทำให้วิถีชีวิตของคนเมืองแท้ๆ ต้องเปลี่ยนไปแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเพิ่งจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงทศวรรษที่แล้ว แต่ตอนนี้ได้รับผลกระทบแรงมาก ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับราคาบ้านพัก การทำผิดกฎหมายและเพื่อนบ้านที่เปลี่ยนไป ไม่นับรวมไปถึงการต้องแย่งกิน แย่งซื้อและแย่งใช้ ตลอดจนแย่งอากาศหายใจกับนักท่องเที่ยวแปลกหน้า

 

เสียงครวญของชาวดัตช์ ที่นี่คือมรดกโลก ไม่ใช่ดิสนีย์แลนด์

( ภาพ AFP ) 

 

ก่อนหน้านี้เนเธอร์แลนด์ประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อในการส่งเสริมการท่องเที่ยว อัมสเตอร์ดัมกลายเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยอานิสงส์จากสายการบินโลว์คอสต์และการสูบกัญชาเสรีในร้านกาแฟบางร้าน ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวพุ่งขึ้นจาก 11 ล้านคนเมื่อปี 2548 เป็น 18 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว

จากการประเมินของคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวเที่ยวแห่งเนเธอร์แลนด์ คาดว่าในปี 2573 หรือในอีก 11 ปีข้างหน้า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศนี้มากถึงปีละ 29-42 ล้านคน ทั้งๆ ที่ประเทศนี้มีประชากรแค่ 17 ล้านคน หรือเฉพาะที่อัมสเตอร์ดัม มีประชากรราว 1.1 ล้านคน แต่มีนักท่องเที่ยวมากถึงปีละ 17 ล้านคน

 

เสียงครวญของชาวดัตช์ ที่นี่คือมรดกโลก ไม่ใช่ดิสนีย์แลนด์

( pixabay) 

 

หมู่บ้านกีธูร์น ฉายา "เวนิสแห่งเนเธอร์แลนด์” หรือเป็นหมู่บ้านไร้ถนน เพราะเต็มไปด้วยคลองเล็กคลองน้อย เวลาไปไหนมาไหนก็ใช้แต่เรือ มีประชากรแค่ 2,500 คน แต่แต่ละปีกลับมีนักท่องเที่ยวจากแดนมังกรไปเยี่ยมชมมากถึง 350,000 คน

ท่ามกลางความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถนำรายได้สู่ระบบเศรษฐกิจ 82,000 ล้านยูโร เมื่อปีที่แล้ว สามารถสร้างงาน 761,000 ตำแหน่ง แต่ทั้งหมดนี้ต้องแลกมากับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เริ่มถูกทำลายมากขึ้น

กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชี้ว่าถ้าหากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 42 ล้านคนในปี 2573 คงจะทำให้เป้าหมายการลดคาร์บอนไดออกไซด์ลง 49% ภายในปีนั้นอาจจะไม่บรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ หนำซ้ำยังต้องแบกรับภาระในการกำจัดเศษอาหาร ขยะมูลฝอยและมลภาวะต่างๆ พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งมีนักท่องเที่ยวมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเท่านั้น

 

เสียงครวญของชาวดัตช์ ที่นี่คือมรดกโลก ไม่ใช่ดิสนีย์แลนด์

( ภาพ AFP ) 

 

ยิ่งในยุคนี้ นักท่องเที่ยวต่างมีสมาร์ทโฟนเป็นอาวุธ ลุยดะเข้าไปเซลฟี่ในทุกที่โดยไม่คำนึงว่าจะสร้างความเสียหายมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะการลุยเข้าเก็บภาพตัวเองที่ถ่ายกับดอกทิวลิปในสวนคอเคนฮอฟ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวนดอกทิวลิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก จนทำให้แปลงดอกทิวลิปได้รับความเสียหาย สุดท้ายเจ้าของสวนทิวลิปท้องถิ่นก็ถูกบีบให้ต้องลงแนวรั้วกั้นแปลงดอกทิวลิป รวมทั้งสร้างเครื่องกีดขวางอื่นๆ เพื่อปกป้องดอกทิวลิปให้ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด และเมื่อสุดจะอดทนอดกลั้นอีกต่อไป เจ้าของสวนดอกทิวลิปก็งัดมาตรการสุดท้ายมาใช้ นั่นก็คือไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวให้เข้าชมหรือจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว

ส่วนที่ย่านโคมแดง บริเวณใจกลางเมืองหลวง ถือเป็นหนึ่งในย่านการค้าที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นย่านที่มีการขายบริการทางเพศอย่างถูกกฎหมาย ถนนคนบาปแห่งนี้เต็มไปด้วยผับ บาร์ และร้านเซ็กส์ช็อปจำนวนมาก สมัยที่ยังไม่มีกฎหมายคุมเข้มการท่องเที่ยวในย่านนี้ แต่ละอาทิตย์จะมีกรุ๊ปทัวร์กว่า 1,000 กรุ๊ปมาเปิดหูเปิดตาที่ย่านนี้โดยเฉพาะในช่วงหัวค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองของนักเที่ยวยามราตรี แต่กลับมีกรุ๊ปทัวร์แทรกเข้าไปเป็นยาดำถึงชั่วโมงละ 28 กรุ๊ป แต่ละคนต่างแย่งกันถ่ายรูปผู้หญิงขายบริการที่สวมชุดวาบหวาม นั่งรอขายบริการตรงหน้าต่างเรียงรายเต็มไปหมด

จากการสำรวจความเห็นของผู้ประกอบอาชีพให้บริการทางเพศ ปรากฏกว่า 80% ร้องเรียนว่าได้รับการปฏิบัติที่แย่มากและไม่เหมาะสมจากนักท่องเที่ยว ขณะที่ชาวบ้านในย่านนั้นต่างร้องเรียนเช่นกันว่าขณะนี้มีนักท่องเที่ยวมากเกินไป จนทำให้ไม่สามารถอาศัยอยู่ในย่านแห่งนี้ได้เหมือนก่อน ช่วงที่สภาเทศบาลกรุงอัมสเตอร์ดัมยังเน้นเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวอยู่นั้น แทนที่จะหาทางจัดการกับกรุ๊ปทัวร์กลับคิดจะแก้ที่ปลายเหตุ นั่นก็คือแนะนำให้ย้ายเขตโคมแดงไปยังเขตอื่นๆ ของเมือง

 

เสียงครวญของชาวดัตช์ ที่นี่คือมรดกโลก ไม่ใช่ดิสนีย์แลนด์

( ภาพ AFP ) 

 

แต่เมื่อรัฐบาลเริ่มมีนโยบายจะไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกต่อไป โดยจะหันมาเน้นการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหานักท่องเที่ยวมากเกินความต้องการ นายกเทศมนตรีของกรุงอัมสเตอร์ดัมก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ชี้ว่า การค้าบริการทางเพศ ไม่ควรถูกนำมาใช้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกต่อไป

พร้อมกันนี้ เทศบาลเมืองอัมสเตอร์ดัม ก็ได้ออกกฎหมายใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปีหน้าเป็นต้นไป ห้ามบริษัทนำเที่ยวจัดกรุ๊ปทัวร์หรือจำกัดกลุ่มทัวร์ไม่เกิน 15 คนไปเที่ยวที่ย่านโคมแดง และยังสั่งห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อจะตัดปัญหาที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่เคารพผู้ประกอบอาชีพค้าบริการทางเพศ

ก่อนหน้านี้ เมื่อปีที่แล้ว ทางการได้เริ่มใช้มาตรการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวด้วยการขึ้นภาษีนักท่องเที่ยว รวมทั้งยังบังคับให้ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นมา ตลอดจนการสั่งปิดแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่งในบางช่วงเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติและความสมดุล

 

 

 

มาในปีนี้ คณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวเนเธอร์แลนด์ได้ออกกฎระเบียบใหม่ๆ มากขึ้น เริ่มจากงดโฆษณาส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกต่อไป ในเอกสารว่าด้วยยุทธศาสตร์ลดแรงจูงใจการท่องเที่ยวเนเธอร์แลนด์ภายในทศวรรษหน้า ย้ำว่า “แทนที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องหันมาบริหารการท่องเที่ยวแทน”

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการยืนยันว่ามาตรการควบคุมเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเนเธอร์แลนด์จะไม่รับนักท่องเที่ยวอีกแล้ว เพียงแต่จะหันไปให้ความสำคัญกับการบริหารแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแทน รวมทั้งแนะนำแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยรู้จักเพื่อเพิ่มการท่องเที่ยวในท้องถิ่น

ทางการวาดหวังว่ายุทธศาสตร์ใหม่ๆ เหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูความสมดุลก่อนจะบรรลุเป้าหมายสูงสุด นั่นก็คือต้อนรับเฉพาะนักท่องเที่ยวผู้รักและเห็นคุณค่าในธรรมชาติรวมทั้งศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนการเคารพในวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น

 

เสียงครวญของชาวดัตช์ ที่นี่คือมรดกโลก ไม่ใช่ดิสนีย์แลนด์

( ประท้วงนักท่องเที่ยว ที่บาร์เซโลนา ( ภาพ AFP )  

 

อันที่จริง เนเธอร์แลนด์ไม่ใช่ประเทศแรกที่พยายามจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังมีหลายประเทศที่ประสบปัญหาเดียวกันและได้พยายามทำมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะที่เวนิส และเกาะในประเทศกรีซ หรือปารีส และบาร์เซโลนา ที่ตอนนี้ต่างหันมาจับตามองมาตรการจำกัดนักท่องเที่ยวของเนเธอร์แลนด์ว่าอาจเป็นต้นแบบในการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ให้ล้นตลาด

เริ่มตั้งแต่การรณรงค์แนวคิดว่าต่อแต่นี้ไปจะไม่ถือว่าการท่องเที่ยวเป็นเป้าหมายหลักอีกต่อไป พร้อมกับกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกระจายไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่อื่นบ้าง ขณะที่สภาเทศบาลเมืองได้หาทางจำกัดการเติบโตของโรงแรม ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ และยังพยายามจัดระเบียบที่จอดรถใหม่ ด้วยการย้ายที่จอดรถโดยสารออกจากใจกลางเมือง ไปนอกเมือง จากนั้นก็เริ่มตรวจเข้มว่ามีใครฝ่าฝืนระเบียบใหม่นี้ ถ้าใครทำก็จะถูกปรับ ปรากฏว่าในช่วง 2 ปีนี้สามารถเรียกเก็บค่าปรับมากขึ้นถึง 2 เท่า

ที่หมู่บ้านกังหันคินเดอร์ไดค์ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน เจ้าของบ้านกังหันลมหลังหนึ่งให้ความเห็นที่ตรงประเด็นที่สุดว่า “ที่นี่คือมรดกโลก ไม่ใช่ดิสนีย์แลนด์ เพราะฉะนั้นก็ควรเคารพในสถานที่ด้วย” ขณะที่เจ้าของกังหันลมโบราณอีกคนหนึ่งใช้ท่าทีที่เป็นมิตรมากกว่าในการพยายามทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวด้วยการยื่นโปสการ์ดที่มีข้อความเรียบง่ายว่า “พวกเราอยู่ที่นี่มานานหลายศตวรรษแล้ว ตอนนี้ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวปีละ 600,000 คน ขณะที่มีพวกเรามีแค่ 60 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 10,000 : 1 #นักท่องเที่ยวมากเกินไปแล้ว”

 

เสียงครวญของชาวดัตช์ ที่นี่คือมรดกโลก ไม่ใช่ดิสนีย์แลนด์

 

หลายคนเชื่อว่าถึงจะยื่นโปสการ์ดให้ อย่างดีนักท่องเที่ยวก็นำไปเก็บเป็นที่ระลึกเท่านั้น ไม่ช่วยให้ปัญหาคลี่คลายลงแต่อย่างใด

แต่ละปี มูลนิธิมรดกโลกคินเดอร์ไดค์ ต้องใช้เงิน 20,000 ยูโร ในการบำรุงรักษากังหันลมให้ทำงานได้เพื่อดึงรายได้จากนักท่องเที่ยวซึ่งต้องเสียค่าตั๋วเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่รายละ 8 ยูโร ไม่นับรวมค่าเรือนำเที่ยวที่มาเทียบท่าหลายร้อยลำในแต่ละปี สร้างรายได้ให้แก่มูลนิธินี้ราวปีละ 4 ล้านยูโร

แต่เงินรายได้ส่วนใหญ่ได้นำกลับไปลงทุนใหม่ในรูปของการบำรุงรักษาสถานที่ ขณะที่ชาวบ้านต่างแทบไม่ได้ผลตอบแทนแม้แต่น้อยจากการที่มีนักท่องเที่ยวมากขึ้น “เราเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลก เราไม่ได้รังเกียจนักท่องเที่ยว แต่มูลนิธิมรดกโลกกลับทำราวกับพวกเราเป็นห่านที่วางไข่ทองคำทุกคน”

สุดท้ายก็มีการฟ้องร้องศาลให้ช่วยคุ้มครองทรัพย์สินและป้องกันไม่ให้ขยายการท่องเที่ยวมากไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่เช่นนั้นจะยิ่งกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชน

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ