ข่าว

อัดแพ็คเกจ'ซื้อใจรากหญ้า' คสช.รัฐบาลวางหมากทิ้งทวน

อัดแพ็คเกจ'ซื้อใจรากหญ้า' คสช.รัฐบาลวางหมากทิ้งทวน

27 ส.ค. 2561

แต่ทว่า การโหม "แพ็คเกจ" ต่างๆเหล่านี้ซึ่งมีมูลค่าเม็ดเงินจำนวนมหาศาล หนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการหวังผล "คะแนนความนิยม" 

อัดแพ็คเกจ\'ซื้อใจรากหญ้า\' คสช.รัฐบาลวางหมากทิ้งทวน

ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ รายงานหน้า14 เรื่อง แพ็คเกจซื้อใจรากหญ้า ตีพิมพ์วันที่ 27ส.ค.61

 

    หากเป็นไปตามปฏิทินที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) วางไว้ การเลือกตั้งจะมีขึ้นในช่วงเดือนก.พ. หรืออย่างช้าสุดไม่เกินเดินพ.ค.2562 เท่ากับว่า หากนับเวลาต่อจากนี้ทั้ง “รัฐบาล” และ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)” จะเหลือเวลาอีกไม่ถึง1 ปีในการบริหารราชการแผ่นดิน

    ระหว่างนี้เราจึงได้เห็นภาพของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.รวมถึงคนในรัฐบาลต่าง “เร่งเครื่อง” ลงพื้นที่ “คิ๊กออฟ” ขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะ“นโยบายแก้จน” หลายๆนโยบาย ซึ่งดูเหมือนว่าจะมุ่งเน้นไปที่การ “ซื้อใจรากหญ้า” 

    อาทิ การออกมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา  โดยมาตรการดังกล่าวได้ ขยายเวลาชำระหนี้แก่ลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยให้พักชำระหนี้ต้นเงินกู้เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2561 - 31 ก.ค. 2564 และชำระดอกเบี้ยเงินกู้อย่างน้อยปีละครั้ง

    ขณะเดียวกันยังได้เห็นชอบวงเงินงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 พร้อมวงเงินชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ของเดือนส.ค.และก.ย. 2561 จำนวน 2,724.85 ล้านบาท เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนเกษตรกรลูกค้าธ.ก.ส.

    ถัดมา นโยบายการปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งนายกฯได้มอบหมายให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว

อัดแพ็คเกจ\'ซื้อใจรากหญ้า\' คสช.รัฐบาลวางหมากทิ้งทวน

    เมื่อเร็วๆนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ลงพื้นที่จ.ขอนแก่นเพื่อติดตามการแก้ปัญหาภาคอีสานตอนบนจำนวน12 จังหวัด พร้อมมอบโฉนดที่ดินให้กับประชาชน 135 คนจำนวนโฉนด 140 ฉบับ รวมประมาณ 120,067,995 บาท

    นอกจากนี้เมื่อวันที่16 ส.ค.ที่ผ่านมา “รองนายกฯประวิตร”  ยังได้ลงพื้นที่จ.อุดรธานี พร้อมมอบโฉนดที่ดิน ให้กับประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบในพื้นที่ภาคอีสาน 1,778 คน เป็นโฉนดที่ดิน จำนวน 1,523 ฉบับ รวม 6,309 ไร่ 

    โดยในวันเดียวดังกล่าวในทุกจังหวัด ได้กระทำพิธีมอบทรัพย์สินคืนให้กับประชาชน 2,287 คน พร้อมกันทั่วประเทศในภาพรวม เป็นโฉนดที่ดินกว่า 7,000 ไร่ และรถยนต์จำนวนมาก มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท

    ขณะที่การประชุมครม.เมื่อวันที่21 ส.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร รายงานต่อที่ประชุมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 16 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่ลงพื้นที่ล่าสุด สามารถแก้ไขปัญหาให้ผู้เสียหายได้แล้ว 209,538 ราย และมอบคืนโฉนดที่ดินในพื้นที่ภาพอีสานตอนบนได้ 1,779 ฉบับ คิดเป็นพื้นที่ 6,930 ไร่ รถยนต์ 78 คัน จักรยานยนต์ 236 คัน และทรัพย์สินอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 2,745 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการสางปัญหาหนี้ครั้งใหญ่และครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง!

    นอกจากนี้อีกหนึ่งแพ็คเกจใหญ่ที่เตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในเร็วๆนี้นั่นคือ มาตรการปรับโครงสร้างหนี้(แฮร์คัต) ซึ่งเสนอโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่จะมีการตัดต้นหนี้50% มีระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ที่เหลืออีก 50% ภายใน 15 ปีให้กับเกษตรกร 3.6 หมื่นราย วงเงิน 6.3 พันล้านบาท ที่เป็นลูกหนี้เอ็นพีแอล(หนี้เสีย)กับธกส.ที่ค้างชำระ

    โดยตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบัน มียอดหนี้กว่า 6 พันล้านบาทและดอกเบี้ย 4 พันล้านบาท โดยเกษตรกรกลุ่มนี้เข้าเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร(กฟก.)เพื่อให้กองทุนฯเข้าซื้อหนี้จากเกษตรกร มาตรการจะมีเกษตรกรได้รับอานิจสงค์ปรับโครงสร้างหนี้กว่า 10,200 ล้านบาท

    ไม่นับรวมนโยบายก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา อาทิ มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ “สวัสดิการคนจนเฟส 2” มูลค่า 35,000 ล้านบาท ให้กับผู้มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อปี 

    พร้อมปรับเพิ่มวงเงินจากเดิมเดือนละ 300 บาท เป็น 500 บาท ส่วนผู้มีรายได้ตั้งแต่ปีละ 30,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท จากเดิมได้เดือนละ 200 บาท ปรับเพิ่มเป็น 300 บาท

    โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” หมู่บ้านหรือชุมชนละ 200,000 บาท ให้กับหมู่บ้านชุมชนกว่า 82,000 แห่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ

    นอกจากนี้ยังมี “โครงการสินเชื่อบ้านประชารัฐ” วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท หรือโครงการที่ประทับใจมวลชนอย่าง “โครงการธงฟ้าประชารัฐ” รวมถึงนโยบายแก้จนหลายๆโครงการที่ได้ดำเนินไปก่อนหน้านี้

    ยิ่ง “เสียงปี่กลอง” เลือกตั้งเริ่มดังมากขึ้น เราจะได้ภาพความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆที่จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และแม้ว่า รัฐบาลจะปฏิเสธเสียงแข็งว่า นี่!ไม่ใช่การอาศัยจังหวะเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ

    แต่ทว่า การโหม “แพ็คเกจ” ต่างๆเหล่านี้ซึ่งมีมูลค่าเม็ดเงินจำนวนมหาศาล หนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการหวังผล “คะแนนความนิยม” ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการปูทางการเมืองจะเกิดขึ้นในอนาคต

ท่ามกลางเสียงจากบรรดาแนวร่วมและกลุ่มผู้สนับสนุน ที่ส่งเสียงเชียร์ให้ “ลุงตู่”อยู่ต่ออีก1สมัย!!