ย้อนหลังไปเมื่อเดือนพฤษภาคม เว็บไซต์ Thumbsup.in.th ได้เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการจาก “ไลน์ ประเทศไทย” ว่า ในจำนวนประชากรไทยเฉียด 70 ล้านคน จะมีผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มไลน์ (LINE) เกินครึ่งหรือจำนวน 44 ล้านคน
และจากสถิติ คนไทยใช้มือถือเฉลี่ย 216 นาทีต่อวัน ในจำนวนนี้เป็นการใช้งานไลน์เฉลี่ย 63 นาทีต่อวัน
และแม้จะเป็นโซเชียลแพลตฟอร์มยอดนิยมแต่ไลน์ก็ไม่เคยหยุดยั้งการพัฒนารูปแบบธุรกิจ ซึ่งค่อยๆ รุกคืบจากการเป็นโปรแกรมสนทนาระหว่างบุคคล และกลุ่มคนในเครือข่ายเดียวกัน ไปสู่การเชื่อมโยงกับบริการต่างๆ ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริการที่อยู่ในบริบทการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็น เกมออนไลน์ (เกม/ไลน์เพลย์), บริการข้อมูลข่าวสาร/บันเทิง (ไลน์ทูเดย์/ไลน์ทีวี), แพลตฟอร์มการหางาน (ไลน์จ็อบ), การจัดส่งสินค้า/อาหาร (ไลน์แมน) และโซลูชั่นช่วยธุรกิจ (Business Solution) ได้แก่ ไลน์แอท หรือ LINE@ และบัญชีไลน์ทางการ (LINE Official Account) เป็นต้น
ซึ่งทั้งสองโปรแกรมนี้จะต้องถูกรวมเข้าด้วยกันภายหลังคำประกาศอย่างเป็นทางการของไลน์ เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา และยุบเหลือเพียง “บัญชีไลน์ทางการ (LINE Official Account)” ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
รายได้จากสติกเกอร์ ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
ประเด็นที่น่าสังเกตสำหรับผลงานการสร้างรายได้ของไลน์ คือ ขณะที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดช่วง 8 ปีที่เข้ามาเปิดบริการในไทย แต่ในแง่ ‘รายได้’ กลับไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบผลประกอบการปี 2559-2561 พบว่ามีทั้งตัวดลขขาดทุน และผลประกอบการติดลบ
โดยปีล่าสุด (2561) มีตัวเลขติดลบถึง 711% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่ามีผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากปี 2560 เป็น 2,331 ล้านบาทก็ตาม
แม้ล่าสุด ผู้บริหารของไลน์ ( ประเทศไทย ) จะออกมาเปิดเผยความนิยมสติกเกอร์ของสาวกไลน์ในไทยว่ามีจำนวนสูงขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และอยู่ในอันดับต้นๆ ของผู้ใช้ทั่วโลก โดยพบว่า คนไทย 1 คน มีสติกเกอร์ไลน์สะสมเฉลี่ยสูงถึงคนละ 65 ชุด ( ในจำนวนนี้เป็นสติกเกอร์ที่ซื้อ 20 ชุด )
ขณะนี้มีสติกเกอร์จำหน่ายทั้งสิ้น 2.2 ล้านชุด คิดเป็นสัดส่วน 35% ของจำนวนสติกเกอร์ทั้งโลก 6 ล้านชุด โดยเป็นตลาดหลักร่วมกับ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับประเทศอย่างญี่ปุ่นและไต้หวันยังถือว่าห่างอยู่มาก (ทั้งๆ ที่เราเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของไลน์ รองจากญี่ปุ่น) ดังนั้น ผู้บริหารจึงมองว่า เมืองไทยยังไม่อิ่มตัว และเตรียมแผนกระตุ้นยอดขายสติกเกอร์ ทั้งการมีฟีเจอร์ใหม่ๆ และขยายช่องทางจำหน่าย เพราะยังเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ
ซึ่งปัจจุบันไลน์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์การสื่อสาร (แทนคำพูดยาวๆ) ของคนไทยเรียบร้อยโรงเรียนไลน์แล้ว
ทั้งนี้ สติกเกอร์ไลน์ที่เราดาวน์โหลดมาส่งให้กันทุกวันนี้ มีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ ได้แก่ สปอนเซอร์สติกเกอร์ที่แจกฟรี และสติกเกอร์ที่ต้องจ่ายเงินซื้อ แบ่งเป็น สติกเกอร์ทางการ (Official Sticker) ที่เป็นสติกเกอร์คาแร็กเตอร์ชั้นนำ
สติกเกอร์ศิลปิน และ LINE Creators Market เป็นพื้นที่จำหน่ายสติกเกอร์ที่เปิดกว้างให้กับครีเอเตอร์ทั่วไปนำเสนองานสร้างสรรค์เข้ามา และถ้าผ่านการพิจารณาจะได้เข้ามาวางขายบนร้านค้าสติกเกอร์ของไลน์ ราคามีตั้งแต่ 35 – 150 บาท
ร้านค้าย่อย - เอสเอ็มอี ช่องทางปั้นรายได้ที่สดใส
ขณะที่ อีกช่องทางการปั้นรายได้ของ ‘ไลน์’ ที่น่าจะทำตัวเลขได้เป็นกอบเป็นกำเร็วกว่าการฝากความหวังไว้กลุ่มผู้ใช้งานที่เป็น ภาคธุรกิจ เจ้าของกิจการร้านค้า หรือเอสเอ็มอี
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังสร้างความนิยมในหมู่คอโซเชียลชาวไทยได้ไม่กี่ปี ไลน์ ก็แตกฟีเจอร์การใช้งานเอาใจกลุ่มร้านค้าและธุรกิจโดยเฉพาะ ภายใต้แบรนด์ ไลน์แอท หรือ LINE@ และ LINE Official Account โดยมีผู้สนใจสมัครเข้ามาใช้ทั้ง 2 ช่องทางนี้รวมแล้วกว่า 3 ล้านราย เพื่อใช้ประโยชน์ในการติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้ไลน์หลายสิบล้านคนทั่วประเทศ
โดยมีผลสำรวจพบว่า เหตุผลหลักๆ ที่คนติดตามช่องทางเหล่านี้ ได้แก่ ติดตามโปรโมชั่น, รับข้อมูล, ต้องการทิปส์ดีๆ มาใช้ในชีวิตประจำวัน และติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์
ลูกค้าหลักๆ ล้วนเป็นธุรกิจที่ใกล้กับชีวิตประจำวันอย่างมาก ได้แก่ กลุ่มอาหาร / เครื่องดื่ม ค้าปลีก สุขภาพและความงาม การเงิน เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อแยกแยะ ‘จำนวน’ จะพบว่า ในส่วน LINE@ มีแอคทีฟแอคเคาน์ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านราย เป็นกลุ่มร้านค้าย่อย , ธุรกิจเอสเอ็มอี และ LINE Official Account เป็นกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ราว 300 บัญชี
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทันทีที่มีคำประกาศจากไลน์ ที่จะรวมทั้ง 2 ช่องทางนี้ให้เหลือช่องทางเดียว ภายใต้แบรนด์ LINE Official Account จึงทำให้เกิดความวิตกอย่างมากในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยบ้านเรา
เพราะที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า LINE@ มีส่วนสำคัญในการจุดประกายให้ผู้ประกอบการรายเล็กๆ ได้เข้ามาใช้งาน โดยคนไทยมีการใช้งานโซเชียลมีเดียจำนวนมาก และนำไปสู่การประยุกต์ใช้กับการขายสินค้าผ่านช่องทางนี้
วงการสื่อโซเชียลมีเดีย จับตาโมเดลคิดค่าบริการใหม่ภายใต้ชื่อ LINE Official Account ว่ามีทั้งข้อดี ข้อเสีย โดยเฉพาะวงการสื่อ และผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งฟันธงว่าจะส่งผลกระทบให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้นแน่นอน
เพราะจะมีค่าใช้จ่ายในการยิงข้อความ หรือกระจายข้อมูลข่าวสารไปยังกลุ่มเป้าหมายที่จะเป็นไปตามจำนวนข้อความที่ไปถึงกลุ่มเป้าหมาย แทนการคิดค่าบริการเหมาจ่ายแบบเดิม
ทั้งนี้ ผู้บริหารของไลน์ ให้เหตุผลข้อหนึ่งในการโอนย้ายบัญชีผู้ค้าใน LINE@ มารวมอยู่ใน LINE Official Account ว่า “ที่ผ่านมาผู้ประกอบการแต่ละรายมีการส่งข้อความสแปมให้แก่ผู้ใช้งานจำนวนมาก จนลูกค้าที่ใช้งานทั่วไป เริ่มเกิดความรำคาญ การส่งข้อความเริ่มเกิด Blind Broadcast ที่ไม่เข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น
ในมุมของไลน์ไม่ได้อยากเป็นแพลตฟอร์ม ที่สนับสนุนให้ทุกคนส่งสแปมเข้าหากัน โดยไม่สามารถเข้าไปจำกัด ปริมาณการส่งข้อความของผู้ประกอบการแต่ละเจ้าได้ แนวคิด ReDesign ครั้งนี้ ก็เพื่อปรับปรุงให้ LINE@ มีคอนเทนต์ที่มีคุณภาพมากขึ้น
อยากให้ผู้ประกอบการทุกคนไม่ใช่แค่มองเรื่องของการทำมาค้าขาย แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ทุกคนชื่นชอบ ไม่ใช่เกิดความรำคาญ”