ข่าว

สนช.รับหลักการ กม.วิธีพิจารณาคดีอาญานักการเมือง

สนช.รับหลักการ กม.วิธีพิจารณาคดีอาญานักการเมือง

02 มิ.ย. 2560

สนช.รับหลักการ กม.วิธีพิจารณาคดีอาญานักการเมือง “ มีชัย”  ชี้เปิดทาง ให้ศาลไต่สวนลับหลังจำเลยได้ แม้จำเลยหลบหนี

          2 มิ.ย.60-ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทำหน้าที่ประธาน โดยได้พิจารณาเรื่องด่วนร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ...ในวาระที่ 1 ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)เสนอ

          นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า  ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการเสนอตามรัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีประสิทธิภาพ โดยร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้มีหลักการใหม่ 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การกำหนดให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้ระบบไต่สวนในการพิจารณาพิพากษาคดี หมายความว่า ในร่างกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อเปิดทางให้ศาลทำหน้าที่แสวงหาความจริงที่นำไปสู่ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และให้เกิดการใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่อหาช่องโหว่มาต่อสู้กันมากจนเกินไป 2.การให้ศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลย เดิมที่ผ่านมาหากเกิดกรณีที่จำเลยหนีหลบหนีไม่ว่าก่อนหรือระหว่างการพิจารณาคดีในศาล ส่งผลให้กระบวนการไต่สวนทำได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น ร่างกฎหมายใหม่จึงกำหนดให้ศาลไต่สวนลับหลังได้เพื่อไม่ให้การพิจารณาคดีสะดุด

          จากนั้นได้เปิดให้สมาชิกได้อภิปราย โดยนายสมชาย แสวงการ สมาชิกสนช. กล่าวว่า ควรกำหนดกรอบเวลาการพิจารณาคดีทุจริตให้ชัดเจน เหมือนกับการที่กฎหมายกำหนดเวลาให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องพิจารณาคดีวินิจฉัยคดีทุจริตการเลือกตั้ง เพื่อให้การพิจารณาคดีไม่เกิดความล่าช้า นอกจากนี้ ควรมีมาตรการติดตามเอาทรัพย์ที่กระทำความผิดมาเป็นของแผ่นดินด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง

          นายมนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด สมาชิกสนช. กล่าวว่า ส่วนตัวมีความสงสัยว่าการที่ร่างกฎหมายกำหนดระบบไต่สวนนั้นเป็นการกำหนดในลักษณะหน้าที่ว่าศาลต้องใช้ระบบไต่สวนเท่านั้นหรือเป็นการกำหนดให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าศาลจะใช้ระบบนี้หรือไม่ก็ได้ ขณะเดียวกัน การกำหนดให้ศาลรับฟ้องหรือสืบพยานโดยไม่มีตัวเลยได้ตามที่กรธ.เสนอ คิดว่าเป็นความพยายามในการแก้ไขปัญหา แต่ส่วนตัวคิดว่าอาจไม่เกิดประสิทธิผลตามที่ตั้งใจไว้ เพราะโดยทั่วไปแล้วหากจะทำให้การพิพากษานำไปสู่การยับยั้งไม่ให้เกิดการก่ออาชญากรรมก็จำเป็นอย่างที่ต้องได้ตัวจำเลยมารับโทษ แต่การทำเช่นนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณผิดกับสังคมว่าไม่จำเป็นต้องติดตามตัวจำเลยก็ได้

          นายมนตรี กล่าวว่า  ด้วยเหตุเหล่านี้จึงคิดว่าหากจะแก้ไขปัญหาการไม่ได้ตัวจำเลยมาฟ้องคดี ก็ควรดำเนินการทางกฎหมาย เช่น การไม่ให้นับอายุความระหว่างหลบหนี และใช้กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งคิดว่าจะได้ประสิทธิผลในการป้องกันอาชญากรรมและการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในเวลาเดียวกัน

          นายมีชัย ชี้แจงว่า กรธ.ยอมรับว่าในทางปฏิบัติคงไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาการทำงานตายตัวให้กับศาลได้ เนื่องจากการทำงานของศาลไม่เหมือนกับกับการทำงานตามปกติ โดยต้องไม่ลืมว่าระยะเวลาในการพิจารณาคดีขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การสืบพยานโจทย์และจำเลย และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เป็นต้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปกำหนดเวลาให้กับศาล แต่อย่างน้อยที่สุดในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้กรธ.ได้บัญญัติหลักการให้ศาลพิจารณาถึงความรวดเร็วในการทำงานด้วย อย่างไรก็ตาม กรธ.อาจพิจารณาเรื่องการกำหนดกรอบเวลาการทำงานไว้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แทน

          “การกำหนดให้ศาลสามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้นั้นกรธ.คิดว่าอย่างน้อยสังคมจะได้รู้ว่าการกระทำของผู้ถูกกกล่าวหาผิดหรือถูกผ่านกระบวนการทางศาล นอกจากนี้ ถ้าบุคคลดังกล่าวกระทำความผิดจริง จะนำไปสู่การขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย”นายมีชัย กล่าว

          จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้วยมติเอกฉันท์ 190 คะแนน และตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญจำนวน 19 คน กำหนดเวลาการทำงานของคณะกมธ.วิสามัญฯในการพิจารณาให้เสร็จภายใน 45 วัน