จ่อเรียกเพิ่มภาษี เบี้ยปรับ คดีเบนซ์ 8 คันรวม 12 ล้าน
DSIเผยผลสอบ เบนซ์จดประกอบ 8 คัน เลี่ยงภาษีกว่า 3 ล้าน จ่อเรียกประเมินภาษีพร้อมเบี้ยปรับสูงสุด 12 ล้าน เผยขบวนการนำเข้ามี "เสี่ย ก."อยู่เบื้องหลัง
วันที่ 1 ส.ค. 59 - พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยพ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค เปิดเผยความคืบหน้ากรณีขบวนการลักลอบนำรถจดประกอบจากอุปกรณ์ชิ้นส่วนเก่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้านี้ดีเอสไอเรียกตรวจสอบรถจดประกอบราคาสูงเกิน 4 ล้านบาท จำนวน 548 คัน เบื้องต้นส่งให้กรมศุลกากรพิจารณาเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ตามมาตรา 6 ของพ.ร.ก.กำหนดพิกัดอัตราศุลกากร จำนวน 236 คัน
โดยอธิบดีกรมศุลกากรแจ้งผลการประเมินราคาและค่าภาษีอากรที่ขาดของโครงรถยนต์และเครื่องยนต์เพื่อให้เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาดแล้ว 8 คัน เป็นเงินรวมกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งการเรียกเก็บภาษีถือเป็นการดำเนินคดีทางแพ่ง แต่ส่วนนี้นอกจากผู้นำเข้าจะมีความผิดทางแพ่งแล้วยังต้องรับผิดในคดีอาญา ซึ่งดีเอสไอจะเป็นผู้พิจารณาดำเนินการฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงอากร ตามพ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 27 ประกอบ มาตรา 6 ของพ.ร.ก.กำหนดพิกัดอัตราศุลกากร ซึ่งมีอัตราโทษปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของซึ่งได้รวมอากรแล้ว หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้สืบสวนสอบสวนขบวนการผู้นำเข้ารถยนต์ผิดกฎหมายแล้วพบว่าเป็นกลุ่มของบริษัท สบายใจจดประกอบ จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.โพธิ์ทอง บริษัท เอส.อาร์.เจ แมชชินเนอรี่ จำกัด บริษัท จัสเต้ จำกัด และบริษัท เอ็ม เอ็น อะไหล่เก่า จำกัด โดยจะเร่งออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดี ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่ามีเสี่ย ก. เป็นเจ้าของบริษัทที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม การชำระค่าปรับจะเรียกเก็บกับผู้ประกอบการ ส่วนผู้ครอบครองต้องดูพฤติกรรมว่ามีการซื้อมาในลักษณะใดหากเกี่ยวข้องก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย
สำหรับผู้ครอบครองรถจดประกอบหากเป็นบุคคลที่ครอบครองรถโดยสุจริต เป็นการซื้อจากสถานที่ขายรถโดยวิญญูชนทั่วไป เช่น โชว์รูม เต็นท์ขายรถมือสองหรือการซื้อขายระหว่างคู่สัญญาในราคาตามท้องตลาด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นพ้องตรงกันว่าเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจะไม่ต้องถูกดำเนินคดีอาญา เว้นแต่การซื้อขายรถราคาต่ำกว่าความเป็นจริงอันผิดปกติเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเข้าประเทศ การซื้อขายในสถานที่อันมิใช่สถานจำหน่ายรถยนต์ การครอบครองโดยมีส่วนร่วมในขบวนการนำเข้าของหรือมีส่วนร่วมในขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดในขบวนการจดประกอบรถซึ่งส่อไปในทางไม่สุจริต
ด้านพ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวถึงกรณีรถจดประกอบเลี่ยงภาษีทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ว่าที่ประชุมร่วมกับอัยการได้พิจารณาร่วมกันแล้ว และขณะนี้ต้องรอประเมินภาษีจากกรมสรรพสามิต ซึ่งมีกำหนดชัดเจนแล้วแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนรถจากัวร์ในความครอบครองของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน
สำหรับรถที่เรียกเก็บภาษีทั้ง 8 คันเป็นรถเบนซ์ทั้งหมด แจ้งจดทะเบียนใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงประกอบด้วย 1.ทะเบียน กย 4559 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด เป็นเงิน 223,305.18 บาท 2.ทะเบียน กท 1097 อยุธยา เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด เป็นเงิน 234,347.88 บาท 3.ทะเบียน กย 2966 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด เป็นเงิน 444,060.70 บาท 4.ทะเบียน กต 7298 เรียกเก็บภาษีส่วนที่ขาด เป็นเงิน 743,650 บาท 5.ทะเบียน ญฮ 3483 กรุงเทพฯ เป็นเงิน 491,140.70 บาท 6.ทะเบียน กย 5870 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีส่วนที่ขาด เป็นเงิน 223,305.18 บาท 7.ทะเบียน กย 2506 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีส่วนที่ขาด เป็นเงิน 484,431.77 บาท และ 8.ทะเบียน กย 3902 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด เป็นเงิน 223,305.17 บาท รวมมูลค่าภาษีที่ขาดอยู่ทั้งหมด 3,067,546.58 บาท อย่างไรก็ตาม ในชั้นการดำเนินคดีอาญารถทั้ง 8 คัน จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีพร้อมเบี้ยปรับสูงสุด 12 ล้านบาท
โดยรถทั้ง 8 คัน ปัจจุบันยังอยู่ในความครอบครองของนายนิมิต ภาวศุทธิกุล นางนาตยา ผลวิเศษ นายจรัส สระทองแมว นายมนูญ จินดาเจี่ย นายจารุเดช บุญคุ้มครอง น.ส.สิริกัลยา พันธ์โกศล นายพงษ์ศักดิ์ โรจนวัชระ และนายพนสิษฐ์ ตรีทิพย์ธิคุณ