
"บ้านบาตร" ภูมิปัญญาที่รอการสืบต่อ
บ้านบาตร ชุมชนเก่าแก่ในเกาะรัตนโกสินทร์ เป็นชุมชนแห่งแรกและแห่งเดียวที่ยังคงยึดอาชีพทำบาตรพระด้วยมือ : เรื่อง/ภาพ ธนาชัย ประมาณพาณิชย์
บ้านบาตร อีกหนึ่งชุมชนเก่าแก่ในเกาะรัตนโกสินทร์ เป็นชุมชนแห่งแรกและแห่งเดียวที่ยังคงยึดอาชีพทำบาตรพระด้วยมือ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกเมรุปูน ซอยบ้านบาตร ถนนบำรุงเมืองและถนนบริพัตร ไม่ไกลจากวัดสระเกศ สิ่งแรกที่สัมผัสได้เมื่อเข้าไปในชุมชนคือเสียงค้อนที่ตีเหล็กดังกังวานไปทั่ว เปรียบเสมือนเสน่ห์ของชุมชนก็ว่าได้
วัสดุที่ใช้ทำบาตรในอดีตคือ ตัวถังเหล็กยางมะตอย ที่ทางเทศบาลกรุงเทพมหานครใช้ใส่ยางมะตอยเพื่อราดถนน เมื่อถึงเวลาจะมีคนนำถังยางมะตอยที่ใช้แล้วมาส่งให้ที่ชุมชน ราคาประมาณ 10 กว่าบาทต่อถัง 1 ใบ โดยถังยางมะตอยทำจากเหล็ก มีเนื้อบาง ทำให้สามารถตีบาตรได้ง่าย สะดวก และราคาไม่แพง
แต่ปัจจุบัน เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นจึงทำบาตรจากเหล็กแผ่น ที่ต้องหาซื้อเองจากแถวหัวลำโพง ราคาเฉลี่ยต่อบาตรใบละ 100 บาท สาเหตุที่ทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลง เนื่องจากชาวบ้านบาตรชะงักการผลิตลงในระยะเวลาหนึ่ง เมื่อทำบาตรใหม่อีกครั้งจึงต้องเริ่มต้นใหม่ ด้วยการปรับเปลี่ยนคุณภาพบาตรให้ดีกว่าเดิม เพื่อแข่งขันกับ "บาตรปั๊ม" "บาตรบุ" จึงต้องทำจากเหล็กหนา ให้เป็นสินค้าที่ทำด้วยมือถูกต้องตามหลักพระวินัย บาตรจึงมีราคาสูงขึ้นจากเดิมมาก ทั้งวัสดุมีราคาสูง และค่าแรงที่เพิ่มมากขึ้นด้วยขั้นตอน
ด้วยคุณสมบัติของบาตรที่ทำด้วยมือ เมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับบาตรปั๊มที่ทำจากเครื่องจักร และยังมีความคงทนมีความหลากหลายในรูปทรงที่สืบทอดภูมิปัญญามาแต่โบราณ ทำขึ้นด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วยความเคารพในวิชาความรู้ ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้สอยในการยังชีพทุกชิ้น บาตรของชาวบ้านบาตรจึงประกอบด้วยคุณค่าที่ผสานฝีมือแรงงานและจิตใจไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนบางครั้งการตีค่าความคุ้มค่าของบาตรอาจไม่สามารถกำหนดด้วยค่าเงินตรา แต่ควรเป็นค่าที่จิตใจมากกว่า (ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.banbatt.com)
นางลักขณา พานาทอง อายุ 60 ปี ชาวชุมชนบ้านบาตรที่สืบทอดการทำบาตรมาตั้งแต่รุ่นพ่อ-แม่ ตอนนี้เป็นรุ่นที่ 4 แล้ว โดยป้าลักขณาเล่าตั้งแต่ครั้งแรกที่สนใจในอาชีพนี้ว่า ตนหัดทำบาตรเมื่อช่วงอายุ 14-15 ปี มีพี่สาวคอยหัดให้ กว่าจะเริ่มใช้งานได้ก็ใช้เวลาปีกว่า ทำเป็นหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
โดยตนเองนั้นถนัดในการตีบาตร การตีต้องตีให้เรียบ ใบหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ต่อวันจะตีบาตรได้ประมาณ 4 ใบ ส่วนรายได้จะได้ต่อเมื่อทำงานในส่วนของตนและส่งงานเสร็จ ซึ่งแต่ละหน้าที่จะได้เงินไม่เท่ากัน แต่คนๆหนึ่ง ก็ไม่สามารถที่จะทำทุกขั้นตอนพร้อมกันได้ เพราะถ้าทำกว่าจะเสร็จหนึ่งใบต้องใช้เวลาร่วมอาทิตย์เนื่องจากการทำบาตรมีหลายขั้นตอน ทำให้แต่ละบ้านมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนที่ถนัด ซึ่งเป็นสิ่งที่แต่ละบ้านได้รับสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ป้าลักขณา เล่าต่อด้วยรอยยิ้มว่า สมัยนี้ดีที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาชมการทำบาตรมากขึ้น ซึ่งสมัยก่อนมีน้อย อาจเป็นเพราะสมัยนี้มีช่องการรับข่าวสารที่ทั่วถึง พอคนเห็นก็มาเที่ยวชม และยังซื้อบาตรพระใบเล็กๆ ติดไม้ติดมือเป็นที่ระลึกอีกด้วย
ในชุมชนยังมีเปิดการสอนขั้นตอนต่างๆในการทำบาตร ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ที่บ้านประธานชุมชน โดยผู้เรียนก็จะเป็นนักเรียน นักศึกษา เมื่อเริ่มทำเป็นแล้วก็มีงานให้เด็กๆ ได้ลองทำเป็นการสร้างรายได้ยามว่างด้วยอีกทาง ซึ่งทางชุมชนยินดีสอนทุกอย่างทุกขั้นตอนในการทำบาตรแบบไม่ปิดบัง ใครสนใจสามารถเดินทางมาเรียนได้
“อยากให้มีคนสนใจในการทำบาตรอยากให้อนุรักษ์สืบต่อไป และป้ามีความภูมิใจที่เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการทำบาตรให้พระทั่วประเทศได้ใช้” ป้าลักขณา ได้กล่าวทิ้งท้าย
ภาพ ธนาชัย ประมาณพาณิชย์ / NationPhoto