
พระราชนิพนธ์จากปลายปากกาพ่อของแผ่นดิน
พระปรีชาสามารถทางด้านภาษาและวรรณกรรม จากงานพระราชนิพนธ์ที่เผยแพร่สู่สายตาสาธารณชน
ตลอด 70 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติ นอกจากพระองค์จะทรงอุทิศพระวรกายทรงงานผ่านโครงการพระราชดำริต่างๆ มากมาย เพื่อให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยยังทรงพระอัจฉริยภาพอีกนานัปการ และหนึ่งในนั้นคือพระปรีชาสามารถทางด้านภาษาและวรรณกรรม จะเห็นได้จากงานพระราชนิพนธ์ที่มีเผยแพร่ออกมาสู่สายตาสาธารณชน
พระราชนิพนธ์เรื่องแรกคือ “พระราชานุกิจ รัชกาลที่ 8” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ตามคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานของ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล เพื่อให้พระราชานุกิจกรุงรัตนโกสินทร์ครบแปดรัชกาล โดยพระราชนิพนธ์เรื่องนี้อยู่ในเรื่อง “พระราชานุกิจ” ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในการพระราชกุศล 100 วัน พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระราชานุกิจนั้นหมายถึงกำหนดเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินจะทรงประพฤติพระราชกิจต่างๆ เป็นประจำทุกวันเป็นการส่วนพระองค์ ปรากฏอยู่ในกฎมณเฑียรบาลตั้งแต่ครั้งรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชนิพนธ์เรื่องนี้แสดงถึงพระปรีชาญาณด้านภาษาไทยของพระองค์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เรื่องต่อมา “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์” เป็นหนังสือที่ทรงพระราชนิพนธ์เป็นรูปแบบบันทึกประจำวัน หลังจากที่เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 แล้ว จำต้องเสด็จฯ กลับไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิทเซอร์แลนด์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2489 ก่อนเสด็จฯ ออกเดินทาง 3 วัน จนถึงวันที่ 22 สิงหาคม 2489 โดยทรงบันทึกเป็นเรื่องราวการเดินทาง ได้ทรงพรรณนาความรู้สึกของพระองค์ตอนจากเมืองไทย ถึงความรักและห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ และยังได้ทรงบรรยายถึงการเดินทาง รวมถึงเหตุการณ์ที่ทรงพบเจอ จบลงด้วยหน้าที่ที่จะต้องทรงกระทำเพื่อบ้านเมืองต่อไป พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือรายเดือน วงวรรณคดี ฉบับประจำเดือนสิงหาคม 2490 นับถึงวันนี้พระราชนิพนธ์ฉบับนี้มีอายุกว่า 70 ปีแล้ว ถือเป็นงานทรงคุณค่าสูงสุดอีกองค์หนึ่งที่พระองค์ท่านได้พระราชทานไว้แก่ปวงชนชาวไทย
ทั้งนี้ ความตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์เล่มนี้ที่ทำให้พสกนิกรชาวไทยรู้สึกประทับใจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ...วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 - วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว...พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้น แล้วก็ไปยังวัดพระแก้ว เพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกตและพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า “อย่าละทิ้งประชาชน” อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ “ทิ้ง” ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะ “ละทิ้ง” อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว
ถัดมาคือเรื่อง “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์แปลเมื่อ พ.ศ.2537 จากต้นฉบับภาษาอังกฤษเรื่อง “A Man Called Intrepid” บทประพันธ์ของ เซอร์วิลเลียม สตีเฟนสัน เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมและมียอดจำหน่ายกว่า 2 ล้านเล่ม ทรงใช้ระยะเวลาในการแปลถึง 3 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2520 แล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2523 มีจำนวนถึง 501 หน้า แสดงให้เห็นว่าทรงพระราชอุตสาหะในการแปลเป็นอย่างมาก และในเดือนธันวาคม 2536 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายทั่วประเทศ ในปี พ.ศ.2537 รายได้จากการจัดจำหน่ายสมทบมูลนิธิชัยพัฒนา
พระราชนิพนธ์แปลเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “นายอินทร์” หรือ “Intrepid” เป็นชื่อรหัสของ เซอร์วิลเลียม สตีเฟนสัน ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยราชการลับอาสาสมัครของอังกฤษ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่ล้วงความลับทางทหารของเยอรมันเพื่อรายงานต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมกันต่อต้านการขยายอำนาจของนาซี โดยนายอินทร์และผู้ร่วมงานถือเป็นตัวอย่างของผู้กล้าที่ยอมอุทิศชีวิตเพื่อความถูกต้อง ยุติธรรม เสรีภาพ และสันติภาพ โดยไม่หวังลาภยศสรรเสริญใดๆ
เรื่องถัดมาเป็นพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ติโต” ทรงแปลจากต้นฉบับเรื่อง Tito ของ ฟิลลิส ออตี้ เมื่อปี พ.ศ.2519 เพื่อใช้ศึกษาและเรียนรู้บุคคลที่น่าสนใจของโลกคนหนึ่งคือ ติโต หรือรู้จักกันในนามของ จอมพลติโต เดิมชื่อ โจซิบ โบรซ และเป็นนายกรัฐมนตรีคอมมิวนิสต์คนแรกและประธานาธิบดีของประเทศยูโกสลาเวีย ติโตฟันฝ่าอุปสรรคทุกวิถีทางเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ประเทศซึ่งประกอบด้วยหลายชนชาติ มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ แต่เขาสามารถสร้างความเจริญให้ยูโกสลาเวียได้ตลอดชีวิตของเขา พระราชนิพนธ์แปลเรื่องนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ภาษาที่สามัญชนเข้าใจง่าย รวมทั้งการใช้โวหารเปรียบเทียบที่คมคาย “ความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากการได้ผู้นำที่ดีและมีความยุติธรรม” ในปี พ.ศ.2537 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งฯ จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายทั่วประเทศ รายได้จากการจัดจำหน่ายสมทบมูลนิธิชัยพัฒนา
ถัดมาคือพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก” มีทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษอยู่ในเล่มเดียวกัน ทรงแปลพระมหาชนกชาดกเสร็จสมบูรณ์ เมื่อปี พ.ศ.2531 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดพิมพ์ในโอกาสเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษกแห่งรัชกาล เมื่อปี พ.ศ.2539 โดยเป็นเรื่องหนึ่งในทศชาติชาดก อันเป็นชาดก 10 ชาติสุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาดกเรื่องนี้เป็นการบำเพ็ญความเพียรเป็นบารมี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษตรงจากมหาชนกชาดกและยังทรงแปลเป็นภาษาสันสกฤตประกอบอีกภาษา รวมทั้งแผนที่ฝีพระหัตถ์แสดงสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองโบราณบางแห่ง และข้อมูลอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับทิศทางลม ซึ่งแสดงถึงพระปรีชาในด้านอักษรศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และโหราศาสตร์ พระราชนิพนธ์พระมหาชนกนี้ มีภาพวาดโดยศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ที่สำคัญมีภาพฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อาทิ ภาพวันที่เรือล่ม โดยมีแผนที่อากาศแสดงเส้นทางพายุจริงๆ และภาพพระมหาชนกทรงว่ายน้ำ โดยมีนางมณีเมขลาเหาะอยู่เบื้องบน เป็นต้น
หลังจากบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกถูกเผยแพร่ออกไปและเป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ เมื่อปี 2542 จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ "พระมหาชนกฉบับการ์ตูน" ออกมา ด้วยมีพระราชประสงค์ให้เยาวชนไทยได้เข้าถึงเนื้อหาของพระมหาชนก นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริให้ใช้ลายเส้นแบบไทยๆ ในการวาดภาพการ์ตูนประกอบ เพื่อแสดงถึงความเป็นไทย โดยภาพการ์ตูนในหนังสือพระมหาชนกฉบับนี้ได้ ชัย ราชวัตร เป็นผู้เขียนการ์ตูนประกอบ
พระราชนิพนธ์เรื่องถัดมาเป็นพระราชนิพนธ์ที่ติดอันดับขายดีที่สุดของประเทศในปี พ.ศ.2545 เรื่อง “ทองแดง” ซึ่งบทพระราชนิพนธ์เล่มนี้เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษในเล่มเดียวกัน จัดพิมพ์เป็นหนังสือปกแข็ง หนา 84 หน้า ขนาด 17X26 ซม. พิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตมันอย่างดี ภาพประกอบ 4 สีตลอดเล่ม เนื้อหาหลักเป็นเรื่องความกตัญญูรู้คุณของคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง รวมทั้งความจงรักภักดี ความมีมารยาท และการสั่งสอนลูกของคุณทองแดง และในพระราชนิพนธ์ได้ทรงยกย่องคุณทองแดงในเรื่องความกตัญญูรู้คุณของคุณทองแดงที่มีต่อแม่มะลิ “ผิดกับคนอื่นที่เมื่อกลายมาเป็นคนสำคัญแล้วมักจะลืมตัว และดูหมิ่นผู้มีพระคุณซึ่งเป็นคนต่ำต้อย” อันเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต
คุณทองแดง สุนัขธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เพราะมีลักษณะพิเศษทั้งด้านกายภาพและอุปนิสัยแสนรู้ เฉลียวฉลาด เป็นสุนัขทรงเลี้ยงที่โปรดปรานของพระองค์ท่าน มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นที่ประทับใจของประชาชนชาวไทยทุกคน เป็นสุนัขทรงเลี้ยงตัวที่ 17 ติดตามถวายงานรับใช้พระองค์ท่านทุกครั้ง ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ใด
นอกจากนี้ยังมี “ทองแดงฉบับการ์ตูน” พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดพิมพ์ในปี พ.ศ.2547 จัดพิมพ์เป็นหนังสือปกอ่อน หนา 172 หน้า ขนาด 17X26 ซม. ลายเส้นหรือการ์ตูนในเรื่องได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพการ์ตูนโดยฝีมือจิตรกรระดับชาติ คือ ชัย ราชวัตร และทีมจิตรกรอีก 3 ท่าน คือ โอม รัชเวทย์, สละ นาคบำรุง และทิววัฒน์ ภัทรกุลวณิชย์ โดยมี อ.พิษณุ ศุภนิมิตร เป็นที่ปรึกษาและออกแบบศิลป์ ซึ่งสามารถถ่ายทอดผลงานออกมาได้อย่างสวยงามสมจริง ไม่ผิดความจากต้นฉบับ
และเรื่องสุดท้ายคือ “พระราชดำรัส” ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยรวบรวมพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของทุกปี ทรงเริ่มแปลพระราชดำรัสเรื่องน้ำและสิ่งแวดล้อมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2532 พระราชดำรัสในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสหประชาชาติ และมีความประสงค์จะได้รับฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแปลพระราชดำรัสเอง และจากพระราชดำรัสดังกล่าว ทำให้รัฐบาลมีมติประกาศให้วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวัน “สิ่งแวดล้อมไทย” หลังจากนั้นก็ทรงแปลพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเรื่อยมา
แม้ว่าบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะมีเพียงไม่กี่เล่ม แต่ทุกผลงานล้วนทรงคุณค่าทั้งในด้านเนื้อหาสาระล้วนแฝงด้วยข้อคิด ทั้งยังคงไว้ซึ่งภาษาที่สละสลวยงดงามตามแบบแผนภาษาไทยด้วย