ร้อง ปธ.ศาลฎีกา ขอลงโทษทางเลือกหญิงสูงอายุแทนคุกรุกป่าสงวน
เครือข่ายประชาสังคม แจง "สุภาพ" อายุ 67 ปีโดนโทษคุก 6 เดือนไม่รอลงอาญาคดีรุกป่าสงวน อายุมากมีภาระดูแลบ้าน ส่วนสามี"เด่น" นักสิทธิฯ ถูกอุ้มหายปี 59 คดีไม่คืบ
ที่ศาลฎีกา ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 13 พ.ย.60 นางอรนุช ผลภิญโญ ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงปกป้องที่ดินทำกิน และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน เข้ายื่นหนังสือข้อคิดเห็น ถึงนายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกาเพื่อขอให้ใช้บทลงโทษทางเลือกแทนการจำคุก กรณีนางสุภาพ คำแหล้ อายุ 67 ปี ภรรยาของนายเด่น คำแหล้ นักสิทธิมนุษยชนแล้วต่อมาศาลจังหวัดภูเขียวได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาสั่งจำคุกนางสุภาพ 6 เดือนไม่รอลงอาญา ในคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยเครือข่ายภาคประชาสังคม 46 องค์กร ขอให้ใช้บทลงโทษทางเลือกแทนการจำคุกหญิงสูงอายุผู้กระทำผิดเพราะนายเด่น คำแหล้ นักสิทธิมนุษยชน สามีของนางสุภาพถูกอุ้มหายตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย.59 ส่วนนางสุภาพถูกจับกุมคุมขังและไม่มีบุตร สิ่งที่เป็นภาระคือไม่มีผู้ดูแลบ้าน ไม่มีใครช่วยเหลือนอกจากคนในชุมชน
ทั้งนี้ นางอรนุช ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงปกป้องที่ดินทำกิน เปิดเผยว่า นางสุภาพเป็นราษฎรที่มีปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและถูกศาลพิพากษาจำคุก ซึ่งมีอายุมากแล้ว แต่มีกฎหมายระหว่างประเทศที่รัฐบาลไทยได้ไปลงนามตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ที่คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยกรณีหญิงในที่คุมขัง ให้พิจารณามาตรการที่ไม่ใช่การคุมขังและแก้ไขสาเหตุรากเหง้าของการกระทำผิดกฎหมายของผู้หญิง และข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (the Bangkok Rules) จึงมายื่นหนังสือเพื่อให้ประธานศาลฎีกาพิจารณาบทลงโทษทางเลือกแทนการจำคุก มีความจำเป็นที่น่าจะพิจารณาทบทวนการลงโทษผู้สูงอายุที่มิใช่คดีอุกฉกรรจ์ คดีที่นางสุภาพได้รับเป็นคดีเชิงนโยบายและเป็นคดีที่ถูกละเมิดสิทธิ อาจจะใช้บทลงโทษทางเลือกอื่นๆ เช่น การทำงานสาธารณะในชุมชนหรือบำเพ็ญประโยชน์ เพราะสำหรับผู้สูงอายุ เรื่องสุขภาพและจิตใจมีผลพอสมควร
ขณะที่ นางอรนุช ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงปกป้องที่ดินทำกิน กล่าวถึงความเป็นมาของคดีนี้ว่า กรณีพิพาทเกิดตั้งแต่ปี 2554 ที่ชุมชนโคกยาว นายเด่นและนางสุภาพได้ตกเป็นจำเลย ชาวบ้านอยู่มาก่อนการประกาศเขตป่าสงวน และมีกระบวนการแก้ไขปัญหามาหลายรัฐบาล ซึ่งหลังจากที่ถูกจับดำเนินคดี นายเด่นและนางสุภาพได้ต่อสู้คดี จนศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น
แต่สภาพความเป็นจริงนายเด่นถูกทำให้หายไปและเสียชีวิต นางสุภาพถูกจับกุมคุมขังและไม่มีบุตร สิ่งที่เป็นภาระคือไม่มีผู้ดูแลบ้าน ไม่มีใครช่วยเหลือนอกจากคนในชุมชน เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมเนื่องจากนางสุภาพอยู่มาก่อน ส่วนกรณีนายเด่นนั้น ผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอออกมาแล้วว่าวัตถุพยานที่พบคือนายเด่นเสียชีวิตแล้ว แต่สถานะยังเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี เป็นความไม่เป็นธรรม
เมื่อถามถึงความคืบหน้าคดีของนายเด่นที่ถูกอุ้มหาย นางอรนุช เปิดเผยว่า ยังไม่มีความคืบหน้า ตำรวจพยายามสรุปไปว่าถูกสัตว์ป่าทำร้าย ทางเครือข่ายฯ ก็มองว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะวัตถุพยานและข้อสังเกตพบว่ามีข้อสงสัยมากมาย เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องติดตาม เราได้ประสานกับ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม พญ.คุณหญิงพรทิพย์ก็บอกว่าต้องมีการสืบค้นสืบสวนหาวัตถุพยานเพิ่มขึ้นอีก เพราะเราพบชิ้นส่วนของกะโหลกอย่างเดียว แต่ชิ้นส่วนอื่นยังไม่เจอ จึงเป็นไปไม่ได้ที่บอกว่าสัตว์ป่าทำร้าย.