ข่าว

คุก 3 ปีไม่รอลงอาญา "ศักดาพินิจ" ปล่อยกู้ ธอส.

คุก 3 ปีไม่รอลงอาญา "ศักดาพินิจ" ปล่อยกู้ ธอส.

18 ม.ค. 2561

ศาลพิพากษากลับจากยกฟ้อง เป็นคุกไม่รอลงอาญา "อดีต รอง กก.ผจก." - 3 ลูกน้อง อนุมัติสินเชื่อปี 40 ไร้เกณฑ์เอื้อเอกชนโครงการแก่งหลวงคันทรี มารีน่า


 
          ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซ.สีคาม ถ.นครไชยศรี วันที่ 18 ม.ค.61 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ คดีหมายเลขดำ อ.1342/2555 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายโอฬาร เกตุพันธุ์ อดีตผอ.ฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) , นายปิยะรัตน์ อุศุภรัตน์ อดีต ผู้ช่วย ผอ.ฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 2 , นายปัญญา สุดใจ อดีตหัวหน้างานสินเชื่อสาขาฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 1 และนายศักดา หรือศักดาพินิจ ณรงค์ชาติโสภณ อดีต รอง กก.ผจก.ธอส. เป็นจำเลยที่ 1- 4 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 

          โดยพฤติการณ์ตามฟ้องสรุปว่า เมื่อเดือน พ.ค.- ธ.ค.40 ระหว่างดำเนิน "โครงการแก่งหลวงคันทรี มารีน่า" อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ซึ่งจัดสรรที่ดินว่างเปล่า 119 แปลง บนเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ ที่มี นายจุนเกียรติ หรือ จิรพัฒน์ เบ้าสุวรรณ เป็นผู้ดำเนินโครงการฯ โดยให้ ธอส. สนับสนุนสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย

          ซึ่งในเดือน พ.ค.40 นายศักดาพินิจ จำเลยที่ 4 ได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่ รอง กก.ผจก.ธอส. สั่งการให้ จำเลยที่ 2-3 ไปตรวจสอบโครงการกับ นายจุนเกียรติ และพนักงานสินเชื่อ ของ ธอส. สาขานครปฐม ประเมินราคาของ บริษัท โปรเสปคเจอรัล จำกัด และพนักงานประเมินราคาของบริษัท 1989 คอนซัลเทนส์ จำกัด เพื่อเตรียมเสนอขอกู้เงิน แต่เมื่อมีการตรวจสอบพื้นที่เพื่อประเมินราคาหลักทรัพย์ประกันที่จะขอสินเชื่อ ปรากฏว่าราคาประเมินที่ดินมีราคาต่ำกว่าราคาที่เจ้าของโครงการกำหนดเป็นราคาขายมาก ซึ่งขณะตรวจสอบโครงการมีการให้สินบนแก่พนักงานประเมินของ ธอส.นครปฐม และพนักงานประเมินของเอกชนเพื่อเป็นการจูงใจให้มีการประเมินราคาสูงขึ้นจากผู้ประเมินราคา แต่ผู้ประเมินไม่รับสินบนและประเมินราคาที่ดินให้เพียงครึ่งหนึ่งจึงไม่สามารถประเมินราคาตามที่โครงการแจ้งมาได้

          เมื่อไม่สามารถประเมินราคาตามที่เสนอได้ นายศักดา จำเลยที่ 4 จึงได้สั่งการให้เปลี่ยนรูปแบบการขอสินเชื่อใหม่เป็นโครงการแหล่งเงินกู้ระยะยาว ซึ่งไม่ต้องใช้ราคาประเมินจากบริษัทผู้รับจ้างดังกล่าว และสามารถบังคับสั่งการให้พนักงาน ธอส.ทำรายงานประเมินราคาที่ดินตามที่ต้องการได้ รวมทั้งสามารถควบคุมสั่งการและอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เพื่อง่ายต่อการสั่งการบังคับบัญชาของจำเลยที่ 4 ซึ่ง ผจก.ธอส.นครปฐม ได้โต้แย้งให้จำเลยที่ 4 ปรับลดราคาประเมินโครงการลงเพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่จำเลยที่ 4 ยืนยันมีคำสั่งว่าไม่ต้องลดราคาประเมินเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตนเองและพวก กระทั่งโครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจาก นายโอฬาร ผอ.ฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 2 จำเลยที่ 1 ทั้งที่จำเลยที่ 1 ทราบความผิดปกติของโครงการว่าอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 4 เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ที่เคยก่อความเสียหายกับ ธอส.มาแล้ว

          ต่อมา จำเลยทั้งสี่ ก็ได้ร่วมดำเนินการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อยในโครงการดังกล่าวเป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวซึ่งไม่ต้องใช้ราคาประเมิน อีกทั้ง นายปัญญา หัวหน้างานสินเชื่อสาขาฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 1 จำเลยที่ 3 ได้เร่งรัดการทำงานของพนักงาน ในฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาคที่มีหน้าที่ทุกขั้นตอนทำให้พนักงานสินเชื่อไม่สามารถวิเคราะห์สินเชื่อโดยใช้วิจารณญาณและดุลยพินิจในการพิจารณาพยานหลักฐานของลูกค้าผู้กู้อย่างละเอียดรอบคอบ จนมีลูกค้า 65 รายกู้ยืมเงินจาก ธอส.และผิดนัดไม่ชำระเงินคืนตามสัญญา ทำให้ ธอส.ได้รับความเสียหาย 218,961,621 บาท เหตุเกิดที่แขวง - เขตห้วยขวาง กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ 
 
          ซึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีนี้ไปเมื่อวันที่ 8 ก.ย.59 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ เนื่องจากเห็นว่า อัยการโจทก์ มีพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ธอส. ต่างเบิกความสอดคล้องกันว่า การปล่อยสินเชื่อของจำเลยที่ 1-4 เป็นไปตามระเบียบของ ธอส. และพวกจำเลยก็ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว พยานหลักฐานจึงยังไม่เพียงพอว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้อง แต่ในครั้งนั้น อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ก็ได้ทำความเห็นแย้งตามอำนาจของกฎหมายประกอบไว้ในสำนวนด้วยว่า การกระทำของจำเลยทั้งหมด เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เห็นควรให้จำคุก นายศักดาพินิจ รอง กก.ผจก.ธอส. จำเลยที่ 4 เป็นเวลา 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 1- 3 ควรให้จำคุกคนละ 3 ปี 

          ต่อมา อัยการโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งหมด
 
          ซึ่ง ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1-3 พิจารณาผ่านคำขอกู้ของลูกค้าย่อยตามฟ้องนั้นถือว่าไม่เป็นการผ่านงานตามขั้นตอนหรือระเบียบของ ธอส.พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1-3 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1-3 ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ธอส.อันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง

          ส่วน นายศักดาพินิจ จำเลยที่ 4 แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 4 ได้สั่งการให้จำเลยที่ 1-3 และพนักงาน ธอส.คนอื่นๆดำเนินการเกี่ยวกับโครงการแก่งหลวง คันทรี มารีน่า แต่ก็มีพยานที่เบิกความต่อ อนุ ป.ป.ช.ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้อนุมัติให้สินเชื่อแก่ลูกค้าในโครงการฯ ถึง 65 ราย และยังได้ความจากพยานซึ่งเบิกความว่าจำเลยที่ 2-3 ไปร่วมตรวจสอบโครงการเนื่องจากได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 4 ด้วย ซึ่งปกติจะไม่มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่ไปร่วมตรวจสอบด้วย อีกทั้งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 4 ที่ได้เร่งรัดสั่งการการอนุมัติสินเชื่อให้แก่ลูกค้ารายย่อยของโครงการให้เสร็จโดยเร็ว และยังได้สั่งการให้จำเลยที่ 1 ผ่านงานของ โครงการแก่งหลวงฯ อย่างรวดเร็ว 

          ส่วนที่ นายศักดาพินิจ จำเลยที่ 4 อ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการฯ เพียงเห็นว่าเป็นโครงการระยะยาวแต่ก็อนุมัติตามระเบียบ ธอส. และไม่รู้จักกับ นายจุนเกียรติ นั้น ศาลอุทธรณ์ฯ เห็นว่า ก็มีเพียงตัวจำเลยคนเดียว เป็นพยานเบิกความลอยๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุน อีกทั้งยังขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากจำเลยที่ 1-3 ยืนยันว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้สั่งการให้เร่งรัดในขั้นตอนต่างๆให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งจำเลยกับนายจุนเกียรติ เคยร่วมงานในโครงการอื่นๆ มีความสนิทสนมกันมาก่อน 

ดังนั้นข้อเท็จจริง จึงรับฟังได้ว่า นายศักดาพินิจ อดีต รอง กก.ผจก.ธอส. จำเลยที่ 4 สั่งให้จำเลยที่ 1-3 และพนักงาน ธอส.คนอื่นๆ ดำเนินการเกี่ยวกับโครงการแก่งหลวงฯ อนุมัติให้กู้เงินจาก ธอส.โดยมิชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของธนาคาร การกระทำของจำเลยที่ 4 จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ ธอส. 

          ที่ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์ฯ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์อัยการโจทก์ฟังขึ้น

          จึงพิพากษากลับเป็นว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ ม.11 ประกอบ 83 ให้จำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 1 ปี ซึ่งคำให้การของจำเลย เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-3 ทั้งสิ้นคนละ 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้จำคุก นายศักดาพินิจ อดีต รอง กก.ผจก.ธอส. จำเลยที่ 4 เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาเช่นกัน

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว จำเลยที่ 1 , 2 , 4 ได้ยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวระหว่างสู้คดีชั้นฎีกา ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัวไปคนละ 800,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ได้ยื่นประกันตัวจึงต้องถูกคุมขังที่เรือนจำต่อไป.