ข่าว

อัยการสั่งฟ้อง"เปรมชัย"6ข้อหา ไม่สั่งฟ้อง4ข้อหา

อัยการสั่งฟ้อง" เปรมชัย" แล้วคดีล่าสัตว์ โดน 6 ข้อหา มีข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่า และครอบครองซากสัตว์ป่าด้วย และเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกว่า 4 แสนบาท

            นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 พร้อมด้วย นายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค7 และนายทนง ตะภา อัยการ จ.กาญจนบุรี ได้ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานอิตาเลียนไทย ดีวีล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกรวม 4 ราย ผู้ต้องหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่เนเรศวร ด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี เข้าไปล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่นเรศวร อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

            นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 ได้แถลงความคืบหน้าในการพิจารณาคดีนายเปรมชัย กรรณสูต กับพวก ว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 สืบเนื่องจากสำนักงานอัยการ จ.กาญจนบุรี ได้รับสำนวนสอบสวน คดีระหว่างนายวิเชียร ชิณวงษ์ ผู้กล่าวหา นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาที่1 นายยงค์ โดดเครือ ผู้ต้องหาที่ 2 นางนที เรียมแสน ผู้ต้องหาที่ 3 และนายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 4  สำหรับผลการสอบสวนคดีสำนวนคดีนี้ ทางพนักงานอัยการและคณะทำงานได้มีคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติมไป 2 ครั้ง

           สำหรับนายเปรมชัย กรรณสูต ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1 ได้มีคำสั่งฟ้อง ข้อหาแรกคือ 1. ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในตัวหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาที่ 2 ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 3. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 4. ร่วมกันมีไว้ในครอบครอง ซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 5.ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น นำพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มากระทำการผิดกฎหมาย 6.ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

          นายเปรมชัย กล่าวอีกว่า อัยการสั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัย บางข้อหา โดยข้อหาแรกคือ 1.ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 2. ร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่า หรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 3.ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และ4.ร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร 

         ส่วนนายยงค์ โดดเครือ อัยการสั่งฟ้องข้อหาเดียวกันกับนายเปรมชัย และมีเพิ่ม 1 ข้อหาคือ ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต  ส่วนข้อหาที่สั่งไม่ฟ้องนายยงค์ โดดเครือ คือ ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ หรืออาวุธใดๆเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร

         อธิบดีอัยการภาค 7 กล่าวอีกว่า ผู้ต้องหาที่ 3 ที่บอกว่าเป็นแม่ครัว นางนที เรืองแสง ได้สั่งฟ้องเกือบทุกข้อหา มีสั่งไม่ฟ้องนางนที ในข้อหา ร่วมกันล่าสัตว์ป่า เช่นเดียวกับนายธานีก็สั่งฟ้องเช่นเดียวกันกับนายยงค์ ทุกข้อหาเพิ่มไปอีก 1 ข้อหาคือ ข้อหาพยายามล่าสัตว์ป่า ส่วนข้อหาที่สั่งไม่ฟ้องนายธานีจะมีร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันนำเครื่องมือ สำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ใดๆเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์ และร่วมกันทำทารุณกรรมสัตว์ป่าโดยไม่มีเหตุอันสมควร

         อธิบดีอัยการภาค 7 กล่าวอีกว่า ส่วนค่าเสียหาย ซึ่งเป็นประเด็นที่สื่อสนใจว่าพนักงานอัยการเรียกค่าเสียหายเท่าไรนั้น  ความเห็นของอัยการให้ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 462,000 บาท ให้กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เนื่องจากตาม พ.ร.บ. คดีนี้ฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งไปกับอาญาได้เฉพาะที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ส่วนที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับระบบนิเวศ ก็เป็นหน้าที่ที่ทางเจ้าหน้าที่จะต้องไปเรียกร้องทางแพ่งต่างหาก อย่าสงสัยว่าทำไมคดีอาญาถึงเรียกร้องค่าเสียหายได้เพียงเท่านี้

         สำหรับคำสั่งที่อธิบดีอัยการภาค 7 มีคำสั่งที่บอกไปแล้วนั้น หลังจากที่มีคำสั่งแล้ว จะส่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้ไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อให้มีความเห็นทางคดีว่า เห็นชอบในคำสั่งที่อธิบดีอัยการภาค 7 มีคำสั่งไปหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ก็ได้ส่งสำนวนการสอบสวนทั้งหมดไปให้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แล้ว อันนี้เป็นไปตามกระบวนกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145/ 1

           "ขณะนี้คณะทำงานได้เตรียมร่างคำฟ้องเรียบร้อยแล้วเพียงแต่รอความเห็น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ว่าท่านเห็นชอบกับคำสั่งอธิบดีอัยการภาค 7 หรือไม่ ถ้าเห็นชอบก็จะยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ตามคำสั่งที่เรามีได้ภายในกำหนด ถ้ามาเร็วก็ยื่นฟ้องได้เร็ว ที่มาแถลงวันนี้เหมือนกับสำนวนได้เตรียมทำไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอกระบวนการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 มีความเห็นอย่างไรเท่านั้น แต่หากมีความเห็นไม่เห็นด้วยกับคำสั่งอธิบดีอัยการภาค 7 สำนวนคดีจะถูกส่งไปยังท่านอัยการสูงสุด เพื่อชี้ขาดความเห็นแย้ง แต่หากไม่แย้งเรื่องจะกลับมาที่สำนักงานอัยการภาค 7และจะยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ตามระบบต่อไป"

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ