เมื่อ"อ.ระพี"ป่วยไข้และความจากใจ"พีระพงศ์ สาคริก"
ทีมข่าวรายงานพิเศษ
จากกรณีการป่วยของ ศ.ระพี สาคริก ปรมาจารย์ด้านกล้วยไม้ ที่เข้ารับการรักษาอาการป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2559 จนถึงขณะนี้ กระทั่งมีสื่อลงข่าวซุบซิบทำนองว่า นอนป่วยไร้การดูแลจากลูก ที่ไม่ได้ไปเฝ้า แต่จ้างคนเฝ้า และห้ามทุกคนเข้าเยี่ยมเด็ดขาด ทำให้นายพีระพงศ์ สาคริก ลูกชายของศ.ระพี ต้องออกมาโพสต์ชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทางโซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์เนชั่นทีวีถึงกรณีดังกล่าว
นายพีระพงศ์ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เก็บตกจากเนชั่น” ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 ระบุว่า จากข้อมูลที่สื่อบางฉบับนำมาลงนั้น หากคนไม่รู้จักมักคุ้นมองว่าเป็นลูกไม่ดูแลพ่อ จึงออกมาชี้แจงเท็จจริงมีทั้งหมด 5 ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกลูกไม่ไปดูแล แต่ไปจ้างคนเฝ้า ขอเรียนว่า ตั้งแต่วันแรกที่คุณพ่อเข้าโรงพยาบาลกระทั่งถึงวันนี้ไม่มีวันใดเลยที่พ่อจะขาดลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 40 วันแรกลูกๆ ทุกคนอยู่เฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ประเด็นที่สองห้ามบุคคลเข้าเยี่ยมเด็ดขาด ก็ต้องบอกว่า ช่วงแรกที่คุณพ่อเข้าไปแอดมิดที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้มีการห้ามใครเข้าเยี่ยม จนกระทั่งมีบุคคลที่รู้จักเข้าไปเยี่ยมและเอาเครื่องโกนหนวดไปโกนให้คุณพ่อในขณะที่คุณพ่อกำลังรักษาอยู่ในห้องไอซียู จนเกิดอาการติดเชื้อ หลังจากนั้นลูกๆ ได้หารือร่วมกันขอให้ทางโรงพยาบาลงดเยี่ยมโดยเด็ดขาด
“ผมได้หารือกับทางพี่น้องว่าคุณพ่อมีคนรู้จักเยอะแยะมากมาย ถ้าเป็นข่าวออกไปก็จะมีคนมาขอเยี่ยมเป็นร้อยเป็นพัน เพราะฉะนั้นคนอายุ 95 ถ้าเกิดอาการติดเชื้อจะรักษาลำบากมาก ลูกๆ จึงขอกับทางโรงพยาบาลว่าให้งดเยี่ยมโดยเด็ดขาด”
ส่วนประเด็นที่สาม นายพีระพงศ์ชี้แจงว่า มีลูกศิษย์โชคดีได้เข้าไป แทนที่สื่อจะทำหน้าที่กล่าวโทษหรือประณามผู้ที่เข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยในห้องไอซียู แต่กลับไปชื่นชมว่าโชคดีที่ได้เข้าไป ซึ่งตนก็งงมากว่าสื่อนำเสนอประเด็นนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ไปละเมิดสิทธิของผู้ป่วย และประเด็นที่สี่ที่นำเสนอเศร้าและสลดใจ คุณพ่อว้าเหว่มาก ซึ่งจริงๆ แล้วอาการแบบนี้ในทางการแพทย์เรียกว่าเป็นอาการสับสนเฉียบพลัน ซึ่งเป็นปกติของคนป่วยที่มีอาการมาก
"ถ้าดูจากวันนี้ (1 มี.ค.) อาการของคุณพ่อยังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าแขนขาอ่อนแรงลง ท่านอายุ 95 สายตาไม่ค่อยดี จำไม่ค่อยได้ ทุกครั้งที่ผมเข้าไปผมจะบอกก่อนว่าใคร สักพักหนึ่งก็จำได้แล้วก็เริ่มคุยกับผม ถ้าเราไม่ไปพูดโต้ตอบ คุณพ่อก็พูดเรื่องในอดีตไปเรื่อย คุณหมอก็อธิบายว่า อันนี้มันอยู่ในเมมโมรี่ของคุณพ่อ เนื่องจากคุณพ่อมีอาการทางสมอง คุณหมอบอกว่าต้องใช้เวลา” นายพีระพงศ์แจงรายละเอียด
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่ระบุว่าร่างกายผอมจนแขนเหลือเท่าหลอดนีออนและทางโรงพยาบาลปล่อยให้คนไข้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร นายพีระพงศ์แจงว่า แน่นอนคนอายุ 95 นอนโรงพยาบาลมากว่า 2 เดือน น้ำหนักก็ย่อมลดลงบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่ถึงกับไปสร้างภาพว่าผอมจนแขนเหลือเกือบเท่าหลอดนีออน
“ขอชี้แจงอีกนิดหนึ่งที่บอกว่าไม่ทราบว่าทางโรงพยาบาลปล่อยให้คนไข้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร ขอบอกเลยว่า ทางโรงพยาบาลดูแลคุณพ่อได้ดีมาก คุณหมอมาดูแลทุกวันแล้วก็ชี้แจงผลการตรวจอาการของคุณพ่อให้ลูกๆ ฟังทุกวัน ส่วนหมอที่มาดูแลผมก็ถามเพื่อนเป็นหมอว่าคุณหมอคนที่มาดูแลคุณพ่อโอเคไหม เขาบอกว่าคนนี้สุดยอดโรงพยาบาลแล้ว”
สำหรับอาการป่วยของ ศ.ระพีนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2559 หลังมีอาการวูบขณะร่วมงานทางวิชาการงานหนึ่ง ซึ่ง ศ.ระพีเป็นประธานในพิธี จนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในทันที หลังแพทย์ตรวจรักษาพบเป็นเบาหวานและมีอาการทางสมอง คนไข้มีอาการเพ้อตลอดเวลา น่าจะเป็นอาการสับสนเฉียบ ซึ่งเป็นปกติของผู้สูงอายุ และอาการป่วยดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดและงดเยี่ยมเด็ดขาดในทุกกรณีเพื่อป้องการการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ศ.ระพี ปัจจุบันอายุ 95 ปี เป็นบุตรชายคนโตของขุนตำรวจเอก พระมหาเทพกษัตริยสมุห (เนื่อง สาคริก) และคุณแม่สนิท ภมรสูตร เริ่มต้นการศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนสามเสนวิทยาคาร และย้ายโรงเรียนอีกหลายแห่ง จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ต่อมาสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลักสูตรปริญญาตรี 5 ปี เมื่อ พ.ศ.2486) ซึ่งเปิดสอนระดับเตรียมมหาวิทยาลัยที่แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ (แม่โจ้รุ่น 7) โดยศึกษาในคณะเกษตร ศ.ระพีเลือกศึกษาด้านกสิกรรมและสัตวบาลสาขาปฐพีวิทยาระดับปริญญาตรี และได้รับพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อปี 2490
ต่อมาได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ให้เข้าเป็นอาจารย์ประจำ แต่เนื่องจากความชอบทำงานค้นคว้าภาคสนาม จึงเลือกไปทำงานที่สถานีทดลองกสิกรรมแม่โจ้ ในตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว และได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัยพันธุ์ข้าวพันธุ์ผักและยาสูบ ในขณะเดียวกันก็ทำการศึกษาค้นคว้าด้าน “กล้วยไม้” ไปด้วยด้วยทุนส่วนตัว ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกิจวัตรในชีวิตของท่านที่อุทิศให้แก่งานค้นคว้าวิจัยด้านกล้วยไม้ตลอดมา จนได้รับการยอมรับจากวงการกล้วยไม้ของโลกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญมากที่สุดผู้หนึ่ง
หลังทำงานวิจัยได้ 2 ปี ศ.ระพีจึงกลับเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลงานการค้นคว้าและส่งเสริมกล้วยไม้ทั้งในด้านการปรับปรุงพันุธุ์ ขยายพันธุ์ ตลอดจนด้านธุรกิจการส่งออก ทำให้กล้วยไม้ไทยกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านเกษตรที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ ศ.ระพีจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยาสาขาเกษตรศาสตร์ ปี 2511 และยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ปี 2513
ส่วนงานบริหาร ศ.ระพีเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ รวมทั้งตำแหน่งอื่นๆ ที่สำคัญอีกมากมาย แม้ปัจจุบันจะเกษียณอายุราชการนานแล้วก็ตาม แต่ ศ.ระพีก็ยังได้รับความเคารพยกย่องเป็นปูชนียบุคคล โดยเฉพาะในวงการศึกษาและวงการกล้วยไม้ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นบิดาแห่งกล้วยไม้ไทย
.............................................