ลุ้น ! 'นาฬิกาหรู ประวิตร' ออกทางไหน ?
คาดว่าวันพฤหัสนี้ (12 ก.ค.) เรื่องนาฬิกาหรูของ พล.อ. ประวิตร จะเข้าสู่การพิจารณาของ กรรมการ ป.ป.ช. ต้องลุ้นกันว่า ผลจะออกมาอย่างไร
ระยะนี้ข่าวเกี่ยวกับ 13 ชีวิต “ ทีมหมูป่า ” มาแรงจริงๆ จนกลบทุกข่าวแทบหมดสิ้น
แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่อง “นาฬิกาหรู”ของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว. กลาโหม เมื่อนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. ได้ออกมาเปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้ คณะทำงานของ ป.ป.ช. จะเสนอรายงานสรุปผลการรวบรวมข้อเท็จจริงกรณีนาฬิกาหรู เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณา เนื่องจากได้มีการสอบพยานครบหมดแล้ว
‘สัปดาห์นี้’ ก็คาดว่าน่าจะเป็นวันพฤหัสนี้ คือ 12 ก.ค เนื่องจากเป็นวันที่มีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ประจำสัปดาห์
ก็ต้องลุ้นกันว่า กรรมการ ป.ป.ช. จะเอาอย่างไรต่อ ซึ่งก็มีได้หลายแนวทาง
1. ป.ป.ช. ตีกลับรายงานผลสรุปข้อเท็จจริงของคณะทำงาน โดยเห็นว่า ยังไม่สมบูรณ์เพียงพอโดยให้ไปรวบรวมข้อเท็จจริงเพิ่ม (ทั้งนี้ก่อนหน้านี้คณะทำงานเคยเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ที่ประชุมให้คณะทำงานไปรวบรวมข้อมูลจากการสอบพยานบุคคลเพิ่มอีก 2 คน ซึ่งคณะทำงานได้สอบพยานครบแล้ว )
2. หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า มีการกระทำผิดฐานปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ก็ไม่จำเป็นต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวน โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อวินิจฉัยได้เลย ซึ่งถ้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่ามีการปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง และต้องห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี และมีโทษทางอาญาด้วย
3. หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า มีการกระทำผิดในฐานะร่ำรวยผิดปกติ หรือรับทรัพย์สินหรือประประโยชน์อื่นใด ที่มีมูลค่าเกินกว่า 3,000 บาท ก็จะต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นมาพิจารณา
ทั้งนี้หากมีความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ ก็จะถูกยึดทรัพย์สินในส่วนที่เพิ่มขึ้นผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ส่วนหากเข้าข่ายรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกินกว่า 3,000 บาท ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และประกาศ ป.ป.ช. เรื่องหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2543 ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลซึ่งไม่ใช่ญาติ มีราคาหรือมูลค่าในการรับจากแต่ละบุคคลแต่ละโอกาสไม่เกิน 3,000 บาท โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับกรณีการตรวจสอบ”นาฬิกาหรู”ของ พล.อ . ประวิตร มีที่มาจากภาพถ่ายหมู่ของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ซึ่งมีภาพ พล.อ. ประวิตร สวมใส่นาฬิกา “ Richard Mille” RM 029 และแหวนทองคำขาวหัวเพชร
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2560 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ไปยื่นเรื่อง ต่อ ป.ป.ช. ให้ทำการตรวจสอบเนื่องจากทรัพย์สินดังกล่าวไม่ปรากฏในเอกสารบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ. ประวิตร ที่ยื่นไว้ต่อ ป.ป.ช. เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 4กันยายน 2557 จึงอาจเข้าข่ายปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และอาจเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ
สำหรับ พล.อ. ประวิตร ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ต่อ ป.ป.ช. รวม 4 ครั้ง โดยยืนยันว่า นาฬิกาไม่ได้เป็นของตนเอง โดยยืมเพื่อนมาใส่ และนาฬิกามีทั้งสิ้น 22 เรือน โดยนาฬิกาทั้ง 22 เรือนยืมมาจากเพื่อนเพียงคนเดียวคือนายปัฐวาท สุขศรี ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว
สำนักงานตรวจสอบทรัพย์สิน ของ ป.ป.ช. ได้ไปตรวจสอบถึงที่มาของนาฬิกาหรูดังกล่าว ว่าเจ้าของนาฬิกาหรูเป็นใคร และตรวจสอบกับบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง 13 แห่ง และสอบถามไปยังทายาทของเพื่อน พล.อ.ประวิตร ด้วย
ส่วนกรณี แหวนเพชร พล.อ. ประวิตร ปรากฏว่าเป็นของพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วและแม่เป็นผู้เก็บไว้และนำมาให้ พล.อ.ประวิตร สวมใส่ในเวลาต่อมา ซึ่งประเด็นเรื่องแหวนเพชนนี้ ป.ป.ช. ได้ยุติการสอบไปแล้ว เนื่องจากเป็นแหวนที่มีราคาไม่ถึง 200,000 บาท จึงไม่ต้องแจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินฯที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.
สำหรับ พล.อ. ประวิตร ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับเรื่องนาฬิกาหรู ว่า“เป็นการเวียนใส่นาฬิกา และได้คืนนาฬิกาให้กับเพื่อนไปหมดแล้ว” แต่หากพบว่ามีนาฬิกาหรู แม้แค่เรือนเดียว เป็นของ พล.อ. ประวิตร จะทำให้ พล.อ. ประวิตร มีปัญหาขึ้นมาทันที เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร ไม่เคยยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯเกี่ยวกับนาฬิกาหรู ต่อ ป.ป.ช. ไว้ก่อนเลย จะเข้าข่ายปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และอาจบานปลายไปถึงร่ำรวยผิดปกติได้และอาจผิด ม.103 พ.ร.ป. ป.ป.ช . ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐรับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาท
กรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร หาก ป.ป.ช .ชี้ว่า พล.อ. ประวิตร มีความผิด ก็ส่งผลกระทบต่อ“รัฐบาล คสช.” เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นแกนนำคนสำคัญของรัฐบาล ขณะเดียวกันกรรมการ ป.ป.ช. บางคน ถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์กับรัฐบาล
งวดเข้ามาทุกขณะแล้ว สำหรับกรณี“นาฬิกาหรู” หลังจากใช้เวลามาระยะหนึ่ง อีกไม่นาน“สาธารณชน”ที่เฝ้าจับตาเรื่องนี้ จะได้รู้ผลกันเสียที