เช็คเงื่อนไข 'เป่าแอลกอฮอล์' ผ่านไปนานแค่ไหน ตรวจไม่เจอในกระแสเลือด พร้อมเปิด อัตราโทษ หากเลี่ยงการตรวจ แอลกอฮอล์
จากเหตุกการณ์ "เมาแล้วขับ" ทำให้เกิดอุบัติเหตุในหลายครั้ง แต่ที่เคยเป็นประเด็นถกเถียง ก็เมื่อครั้ง เสี่ย "เบนท์ลีย์" ซิ่งชนบนทางด่วน ปฎิเสธการ "เป่าแอลกอฮอล์" โดยอ้างว่า เจ็บหน้าอก แต่ขอเป็นการตรวจเลือดแทน ซึ่งทำให้เกิดข้อกังขาว่า ผลการตรวจจะแม่นยำแค่ไหน รวมทั้งกรณีล่าสุด กับอุบัติเหตุขับรถชนท้ายรถขยะของ นักร้องดัง "ว่าน ธนกฤต"
ตามหลักการแล้ว แอลกอฮอล์จะอยู่ในเลือด 6 ชั่วโมง หลังจากนั้น จะหายไปจากเลือดอย่างมีนัย ทำให้เกิดคำถามว่า การปฎิเสธที่จะตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ มีความผิดหรือไม่ แล้วเป่าแอลกอฮอล์เท่าไร ถึงจะมีโทษเมาแล้วขับ
นายแพทย์วิทวัส ศิริประชัย อดีตแพทย์ประจำโรงพยาบาลเกาะลันตา อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ หรือ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน เจ้าของเพจ Drama-addict ให้ข้อมูลว่า แนวทางปฎิบัติในการตรวจแอลกอฮอล์ของคนที่สงสัยว่าดื่มแล้วขับ ยึดการตรวจลมหายใจเป็นอันดับแรก เพราะการตรวจแอลกอฮอล์จากลมหายใจ จะสะท้อนผลแอลกอฮอล์ในเลือดที่สัมพันธ์กับการดื่มก่อนหน้านั้น 30 นาที
แต่หากไม่ได้เป่าแอลกอฮอล์จากลมหายใจ แล้วรอไปตรวจเลือด ร่างกายจะกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากเลือด ประมาณชั่วโมงละ 15 mg% (อาจบวกลบได้ถึง 20) ตามกฏหมายจะผิดเมื่อมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 mg%
สมมุติว่า ณ เวลาเกิดเหตุ มีแอลกอฮอล์ในเลือดซัก 100mg% แล้วเตะถ่วงไป 4 ชั่วโมง อ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อย 4 ชั่วโมงต่อไป พอตรวจเลือด อาจมีแอลกอฮอล์ในเลือดแค่ 30-40% เท่านั้น ถ้าเป็นในต่างประเทศจะคำนวนย้อนหลังไปหาค่าแอลกอฮอล์ ณ เวลาเกิดเหตุได้ แต่ของประเทศไทย ไม่ชัดเจน
นอกจากนั้น นพ.วิทวัส ระบุว่า การเป่าแอลกอฮอล์ไม่ต้องเป่าแรง แค่เป่าด้วยลมหายใจปานกลาง เพียง 5 วินาที เครื่องจะสุ่มเก็บลมหายใจราว 1 CC ไปตรวจหาแอลกอฮอล์โดยมีโหมดเก็บลมจากการพูด หรือหายใจเบาๆ ด้วย
แอลกอฮอล์อยู่ในร่างกายให้ตรวจได้นานเท่าไร
- เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายจะเริ่มเผาผลาญแอลกอฮอล์ในอัตรา 20 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (mg/dL) ต่อชั่วโมง
- ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือด แต่ละคนแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีผลต่อความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือด ได้แก่ อายุ น้ำหนัก การได้รับการรักษาบางอย่าง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนท้องว่าง หรือแม้แต่การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากในระยะเวลาสั้น ๆ ก็มีผลเช่นกัน
- 20% ของแอลกอฮอล์ที่ได้รับเข้าไปในช่วงแรก จะไหลเข้าสู่หลอดเลือด และถูกพาไปยังสมอง ส่วนอีก 80% ที่เหลือจะถูกส่งไปที่ลำไส้เล็ก และเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป หลังจากนั้น แอลกอฮอล์จะถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยตับ
- การตรวจปัสสาวะ สามารถตรวจพบแอลกอฮอล์ได้ตั้งแต่ 12-48 ชั่วโมงหลังการดื่ม หรือในการตรวจสอบที่มีความแม่นยำสูงอื่น ๆ สามารถตรวจพบแอลกอฮอล์ในปัสสาวะหลังการดื่มได้ถึง 80 ชั่วโมง
- การวัดแอลกอฮอลล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ สามารถตรวจพบ แอลกอฮอล์ที่อยู่ในเลือดหลังจากการดื่มได้นานถึง 24 ชั่วโมง
- แอลกอฮอล์ยังสามารถสะสมอยู่ในผมได้มากกว่า 90 วัน ในบางครั้งสามารถตรวจพบแอลกอฮอล์ได้จากน้ำลาย เหงื่อและเลือดอีกด้วย
- สำหรับการตรวจในเลือด: สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แนะนำให้ตรวจภายใน 4 ชั่วโมง (หากเกิน 6 ชั่วโมง ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดลงต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด 50 mg%)
หลักการเป่าแอลกอฮอล์ที่ถูกต้องเพื่อความแม่นยำ
- การที่เครื่องวัดฯ จะวิเคราะห์ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจากลมหายใจได้ถูกต้อง ต้องใช้ลมหายใจจากส่วนลึกของปอด ที่สัมผัสกับเส้นเลือดฝอยในปอด เพื่อจะให้ได้ค่าปริมาณแอลกอฮอล์ที่ถูกต้อง
อัตราโทษหากปฎิเสธการตรวจแอลกอฮอล์
- ประเทศไทย: ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 157/1 วรรคแรก บัญญัติว่า” ผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ตรวจการที่ให้มีการตรวจสอบผู้ขับขี่ตาม มาตรา 43 ทวิ หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ตรวจการ ที่ให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ตาม มาตรา 43 ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท”
- ประเทศอังกฤษ: การปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด เปรียบเสมือนผู้กระทำผิดโดยทั่วไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่ศาลจะพิจารณาอัตราโทษสูงกว่าการกระทำผิดโดยปกติ ด้วยการพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ 12-36 เดือน ปรับ 150 ปอนด์ ถึง 150 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อสัปดาห์ ตัดคะแนน 3-11 คะแนน และต้องทำงานบริการสังคมอีกด้วย
- ประเทศสหรัฐอเมริกา (รัฐเท็กซัส): การปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ จะถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่เป็นระยะเวลา 180 วัน แต่ถ้าหากบุคคลนั้นเคยมีประวัติการกระทำผิดมาก่อน ภายในระยะเวลา 10 ปี จะต้องถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี นอกจากโทษดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้กระทำผิดจะต้องถูกภาคทัณฑ์ เข้ารับการฝึกอบรมการทำงานบริการชุมชนและต้องจ่ายค่าดำเนินการต่างๆ ทางศาลด้วย
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยถือว่ายังมีอัตราโทษที่รุนแรงน้อย เมื่อเทียบกับต่างประเทศ
และไม่เพียงเท่านั้น หากผู้ขับขี่ไม่ยินยอมให้ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ตรวจเป่าแอลกอฮอล์ จะถือว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินปริมาณที่กำหนดทันที และประกันก็จะไม่จ่ายค่าเสียหาย กรณีเกิดอุบัติเหตุด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง