ข่าว

ถึงเวลาคืนฟอร์ม“ซาดิโอ มาเน”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เรียกฟอร์มเก่งคืนมาได้อีกครั้งสำหรับ ซาดิโอ มาเน แนวรุกเซเนกัลของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะการกลับมาสวมวิญญาณเพชฌฆาตยิงสลุตใส่คู่แข่งแดนฝอยทองแบบไม่ยั้ง

    เกมล่าสุด ลิเวอร์พูล บุกไปถล่ม เอฟซี ปอร์โต 5-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (14 ก.พ.) โดยสามประสานแดนหน้า “หงส์แดง” ต่างผลงานเข้าฝักเมื่อเรียงหน้ากันยิงประตูแบบครบครันทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่บวกประตูที่ 30 รวมทุกรายการในฤดูกาลนี้, โรแบร์โต ฟิร์มิโน หนึ่งประตู แต่คนที่โดดเด่นที่สุดย่อมหนีไม่พ้นดาวเตะทีมชาติเซเนกัลอย่าง “มาเน” ที่ซัดแฮตทริกในเกมนี้ช่วยทีมกุมความได้เปรียบมหาศาลก่อนกลับไปเล่นนัดสองที่แอนฟิลด์ในวันที่ 6 มีนาคมนี้

    “เขาเป็นคนสำคัญเสมอและสร้างความตื่นเต้นมาให้เราทุกครั้ง นี่คือคุณภาพที่แท้จริง แม้คุณอาจไม่อยู่ในสภาพ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังทำประตูได้ แม้จะไม่บ่อยแต่หากเป็นประตูสำคัญก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี” เจอร์เกน คลอปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ออกมาสดุดีผลงานลูกทีมคนเก่งที่กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง

    สามประตูในเกมกับปอร์โต นอกจากช่วยให้ต้นสังกัดมีเส้นทางสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่สดใสในถ้วยยุโรปแล้ว ผลงานดังกล่าวยังถือเป็นการเรียกความมั่นใจของดาวเตะเจ้าของรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสรเมื่อฤดูกาลที่แล้วให้กลับมาอยู่ในร่องในรอยอีกครั้ง ที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถคลำเป้าเจอมาถึง 5 เกมติดต่อกัน จากครั้งสุดท้ายที่ยิงได้ในเกมชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี 4-3 เมื่อกลางเดือนมกราคม ที่ผ่านมา

    แน่นอนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า มาเน กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มตกหรือเปล่า เพราะหากใครที่ติดตามผลงานของดาวเตะเซเนกัลในซีซั่นนี้จะสังเกตได้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ มาเน คนเดียวกับฤดูกาลที่แล้ว

คีย์แมนคนสำคัญ

    ผลงาน 13 ประตู กับอีก 5 แอสซิสต์ พ่วงด้วยรางวัลนักเตะแห่งปีของสโมสรเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เป็นตัวบ่งบอกได้ดีถึงความสามารถของดาวเตะวัย 25 ปี ว่ายอดเยี่ยมเพียงใด

    ซีซั่นที่ผ่านมา มาเน คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเกมรุกของทีมให้เดินหน้าล่าตาข่ายคู่แข่งได้อย่างชนิดไม่ต้องกลัวใคร และยามใดที่ทีมขาดเขาไปก็แทบจะเรียกได้ว่าเกมรุกแทบจะขาดไอเดียในการเจาะตาข่ายคู่ต่อสู้ไปเลยก็ว่าได้ ดังเช่นตอนที่นักเตะต้องเดินทางไปรับใช้ทีมชาติเซเนกัลในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติแอฟริกา “แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์” ซึ่งสถิติบอกไว้ว่า 11 เกมที่ไม่มี “มาเน” ลิเวอร์พูลชนะแค่ 45.5% และยอดทำประตูเฉลี่ยต่อเกมก็ลดลงไปด้วย แต่หากเทียบกับตอนมีดาวยิงชาวเซเนกัล พวกเขาเก็บชัยชนะไปได้ถึง 61.3% จาก 31 เกม

    หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นตลอดระยะเวลาประมาน 1 เดือน ที่ขาด มาเน ไปนั้น ลิเวอร์พูล กลายสถานภาพจากทีมที่กำลังลุ้นตำแหน่งหัวตารางต้องแปรสภาพมาเป็นเพียงทีมแย่งอันดับ 4 เพื่อคว้าโควตาไปเล่นถ้วยยุโรป

โดนแบน+ทะเลาะกับโค้ช

    เปิดฉากฤดูกาลใหม่ 2017-2018 มาเน สลัดอาการเจ็บหายเป็นปลิดทิ้งพร้อมฉายแสงทันทีในแมทช์เปิดหัวซีซั่นใหม่เมื่อเป็นคนซัดสกอร์แรกในเกมเสมอ วัตฟอร์ด 3-3 ก่อนที่จากนั้นจะยิงเพิ่มได้อีก 2 ประตูตลอดเดือนสิงหาคม กระทั่งได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก

    พอเข้าสู่เดือนที่สองของฤดูกาลใหม่ไม่นาน ก็มีเหตุให้ มาเน ต้องถูกลักพาตัวไปจากสนามอีกจนได้เมื่อไปยกเท้าสูงใส่ใบหน้าของ เอแดร์สัน ผู้รักษาประตูชาวบราซิลเลียนของแมนเชสเตอร์ ซิตี ก่อนตามมาด้วยใบแดงไล่ออกจากสนามทันทีในเกมที่ลิเวอร์พูล บุกไปโดน “เรือใบสีฟ้า” เปิดรังปูพรมถล่ม 5-0 ซึ่งผลพวงหลังจากนั้น นอกจากโทษแบนโดย 3 นัดในลีกแล้ว ดาวเตะเซเนกัลยังต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาที่ว่าเขาเล่นรุนแรงต่อเพื่อนร่วมอาชีพเกินไปหรือเปล่า

    พอพ้นโทษแบนต้องมาเจออาการบาดเจ็บต้นขาจากการรับใช้ทีมชาติ ซึ่งคราวนี้ต้องร้างสนามไปอีก 6 สัปดาห์ แถมพอกลับมาก็กลายเป็นที่พูดถึงทันทีเมื่อถูกเปลี่ยนลงในฐานะผู้เล่นสำรองและมีเวลาอยู่ในสนามเพียงแค่ 3 นาที นำมาซึ่งอาการหงุดหงิดไม่พอใจอย่างหนักจนเก็บอาการไม่อยู่ โดยถูกจับภาพได้ขณะกำลังถกเถียงกับ เจอร์เกน คลอปป์ หลังจบเกมดังกล่าว หลังจากนั้นก็ออกมาสารภาพว่าไม่พอใจที่ถูกดร็อป ประกอบกับระยะเวลาที่ได้ลงไปเล่นแค่สามนาที

    “มันไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจได้ง่าย นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับผม แต่มันคือส่วนหนึ่งของฟุตบอลและสามารถเกิดขึ้นได้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือผมได้กลับมา ผมรู้สึกดีมากๆ” มาเน ออกมายอมรับหลังเกมกับเชลซีพร้อมยืนยันว่าเขาไม่ได้มีเรื่องบาดหมางใจกับ คลอปป์ แต่อย่างใด

เล่นเพื่อตัวเองเกินไป

    อย่างไรก็ตาม การถกเถียงกับนายใหญ่ชาวเยอรมันไม่ใช่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ มาเน เผชิญกับปัญหาปืนฝืด แต่ที่หลายคนมองว่าสาเหตุที่ทำให้โชว์ฟอร์มไม่ออกนั้นเกิดขึ้นในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีที่จบลงด้วยผลเสมอแบบน่าเจ็บใจ 1-1 แม้เกมนั้นหลายคนจะโทษว่าเป็นความผิดของ เดยัน ลอฟเรน ที่ไปพลาดทำเสียจุดโทษ แต่แฟนบอลอีกหลายคนไม่วายบ่นเสียดายโอกาสทองของดาวเตะเลือดเซเนกัลที่หลุดเดี่ยวช่วงก่อนหมดครึ่งแรก และมีโอกาสที่จะบวกสกอร์เพิ่มเป็น 2-0 หากเลือกใส่พานให้เพื่อนร่วมทีม แต่สุดท้ายดันตัดสินใจยิงเองแล้วบอลพลาดหลุดเสาไกลออกไป

    จบแมทช์นั้นหลายคนออกมาโจมตีทัศนคติการเล่นของมาเน ทันที บ้างว่าเขาอิจฉาเพื่อนร่วมทีมอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ บ้างว่าเขาเล่นแบบเห็นแก่ตัวจนเกินไป และหนนี้ดูเหมือนทำให้นักเตะจะกดดันตัวเองมากเกินไปเพราะจากนั้นอีก 11 เกมที่ได้ลงเล่น เจ้าของรางวัลนักเตะแห่งปีของสโมสรคลำเป้าเจอเพียงแค่ 2 ลูกเท่านั้น

    ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน 3 ประตูที่ยิงใส่ปอร์โต ทำให้คำครหาต่างๆหมดสิ้นไป แถมยังช่วยปลดล็อกเรื่องความมั่นใจได้ดี ซึ่งความน่าสนใจจากนี้ก็คือเกมนัดต่อๆ ไปเขาจะกลับมาเป็น ซาดิโอ มาเน คนเดียวกับที่ “เดอะ ค็อป” เคยฝากความหวังไว้เฉกเช่นฤดูกาลที่แล้วได้หรือเปล่า

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ