ข่าว

รู้จัก“อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด”ทีมลูกหนังล่าสุดของคนไทย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 ก.พ.) เกิดข่าวใหญ่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งส่งผลมาถึงประเทศไทยด้วย

    นั่นก็คือการที่ นายสัมฤทธิ์ ธนะกาญจนสุทธิ์ นักธุรกิจชาวไทย ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ พร้อมรับตำแหน่งประธานสโมสรคนใหม่ของทีม อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด ในศึกลีกวันของอังกฤษเป็นที่เรียบร้อย
     ก่อนหน้านี้ “บิ๊กเสือ” เคยเป็นอดีต 1 ใน 3 หุ้นส่วนของสโมสร เรดดิง ทีมศึกลีกแชมเปียนชิพ ร่วมกับ คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ และ นรินทร์ นิรุตตินานนท์ ตั้งแต่ปี 2014 ก่อนจะขายหุ้นให้กับนักธุรกิจจากจีนในเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว ก่อนจะกลับเข้ามาสู่วงการลูกหนังอีกครั้งกับทีมดังกล่าว โดยเจ้าตัวจะเข้าดำรงตำแหน่งแทนประธานคนเก่าอย่าง ดาร์รีล เอลส์ ยังคงมีหุ้นกับสโมสร และยังได้อยู่ในบอร์ดบริหารตามเดิม
     ถึงกระนั้นเชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จักว่าทีม อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด มีประวัติความเป็นมาอย่างไร รวมถึงมีความน่าสนใจแค่ไหนจนทำให้ถูกกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาเทคโอเวอร์ในที่สุด

จุดกำเนิดจากทีมสมัครเล่น

    สำหรับทีม อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด เริ่มก่อตั้งสโมสรครั้งแรกในปี 1893 โดยพัฒนามาจากทีมสมัครเล่นระดับหมู่บ้านซึ่งมีชื่อว่า “เฮดดิงตัน”
    หลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด เข้าร่วมการแข่งขันในระดับลีกเป็นครั้งแรกกับลีกที่มีชื่อว่า “สปาร์ตัน ลีก” เมื่อปี 1947 ก่อนที่ในปี 1949 พวกเขาจะถูกผลักดันให้เข้าสู่ “เซาเธิร์น ลีก” ซึ่งเป็นลีกระดับกึ่งอาชีพในเวลานั้น
     โดยพวกเขาทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยการคว้าแชมป์ เซาเธิร์น ลีก ได้ในปี 1953 และผ่านเข้าถึงรอบ 4 ของฟุตบอลเอฟเอ คัพ ก่อนพ่ายต่อ โบลตัน วันเดอเรอร์ส์ 4-2 ในปี 1954 จนทำให้ทีมพัฒนาไปมากก่อนเข้าสู่ทศวรรษที่ 60 ด้วยการคว้าแชมป์ เซาเธิร์น ลีก อีก 2 ครั้ง และส่งผลให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในลีก 4 ซึ่งเป็นลีกเริ่มต้นของทีมระดับอาชีพในแดนผู้ดีได้สำเร็จ

1982-1990 ยุคทองของสโมสร

     หลังจากที่พวกเขาผ่านได้เลื่อนชั้นไปถึงลีกดิวิชัน 2 และอยู่รอดมานานกว่า 8 ปี สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องตกชั้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรนับตั้งแต่ซีซั่น 1975-76 นอกจากนั้นพวกเขายังประสบปัญหาเรื่องการเงินของสโมสรจนกระทั่งอยู่ในสภาวะล้มละลายในปีเดียวกันจนถึงขั้นอาจจะต้องยุบทีม
     อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ต แม็กซ์เวลล์ มหาเศรษฐีด้านสื่อ ได้เข้ามากอบกู้ทีมเอาไว้ พร้อมแต่งตั้งให้ จิม สมิธ อดีตผู้จัดการทีม เบอร์มิงแฮม ซิตี เข้มาเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ของทีม ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชัน 3 ได้ในฤดูกาล 1983-84 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชัน 1 ได้ในปีต่อมาทันที จึงถือว่าเป็นช่วงที่ อ็อกซ์ฟอร์ด ประสบความสำเร็จอย่างมาก และพลิกสถานการณ์หลังเกือบต้องถูกยุบทีม
    ถึงกระนั้น จิม สมิธ ก็ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในปี 1995 ซึ่งเป็นปีแรกที่เลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดของอังกฤษในเวลานั้น และให้ มัวริซ อีแวนส์ คุมทีมแทน ซึ่งฤดูกาลแรกในการอยู่ลีกสูงสุดของพวกเขานั้นจบด้วยการหนีตกชั้นได้สำเร็จ
    และในปีต่อมา หรือฤดูกาล 1986-87 อ็อกซ์ฟอร์ด สามารถสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์ในระดับอาชีพเป็นใบแรกนั่นก็คือ “มิลค์ คัพ” ด้วยการเอาชนะ ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส 3-0 ที่สนามเวมบลีย์ ท่ามกลางผู้ชมในสนามกว่า 90,396 คน
     ส่วนในปีที่ 2 ของการอยู่ในลีกสูงสุด พวกเขายังเอาตัวรอดด้วยการไม่ตกชั้นได้ ถึงกระนั้นในปีต่อมาด้วยความที่ลีกมีมาตรฐานสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดส่งผลให้ อ็อกซ์ฟอร์ด ร่วงไปอยู่ดิวิชัน 2 ในที่สุด

สถานการณ์ปัจจุบัน

    หลังจากทศวรรษที่ 80 พวกเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จใดๆอีกเลย นอกจากการเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีก วันในปี 1995-96 และ2015-16 ส่วนปัจจุบันอยู่ในอันดับ 15 ของลีก วัน ด้วยการมี 41 แต้ม จาก 33 นัด เหนือกว่า โอล์ดแฮม แฮธเลติก ทีมอันดับ 21 ซึ่งอยู่ในโซนตกชั้นอยู่ 5 คะแนน
    ขณะที่สถานการณ์ของทีมในด้านอื่นๆ อ็อกซ์ฟอร์ด ยังไม่มีผู้จัดการทีมคนใหม่ หลังเพิ่งปลด เป๊ป โกลเต็ต ไปเมื่อเดือนที่แล้ว ให้ เดเร็ค ฟาซาเคอร์ลีย์ รับหน้าที่คุมทีมชั่วคราว โดยเรื่องดังกล่าวเป็นภารกิจแรกที่ “บิ๊กเสือ” จะเข้ามาแก้ไข โดยกล่าวว่า “ผมรู้ว่าแฟนบอลหลายคนต้องการรู้ถึงแผนของเราในตำแหน่งเฮดโค้ชคนใหม่ ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีความคืบหน้าหลายอย่าง และผมได้รับแจ้งข้อมูลอย่างครบถ้วน ซึ่งตอนนี้ผมได้รับแต่งตั้งเป็นประธานอย่างเป็นทางการแล้ว และจะตั้งใจทำให้กระบวนการนี้มันจบโดยเร็ว แล้วเราจะได้มีความมั่นคงในช่วงฤดูกาลที่เหลือ” ซึ่งสื่อคาดว่า ผู้จัดการทีมคนใหม่ของ อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 15 ของลีก คือ เคร็ก เบลลามี อดีตกองหน้าทีมชาติเวลส์ และลิเวอร์พูล วัย 36 ปี
     ส่วนดาวเด่นประจำทีม คงจะหนีไม่พ้น เวสต์ โธมัส ศูนย์หน้าตัวเก๋า ที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2016 โดยเขาลงสนามให้ทีมไปแล้ว 36 นัด พร้อมทำไป 12 ประตู ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของทีมในขณะนี้ และเป็นดาวยิงตัวความหวังที่จะขาดไปไม่ได้ รวมไปถึง คาเมรอน บรานาแกน อดีตเด็กปั้นของทีม ลิเวอร์พูล ที่เคยลงสนามในทีมชุดใหญ่ของ “หงส์แดง” 3 เกมในช่วงปี 2014-2017 ก่อนถูกปล่อยตัวให้กับ อ็อกซ์ฟอร์ด แบบถาวรในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา

     ทั้งหมดที่กล่าวมาคือประวัติคร่าวๆของสโมสรแห่งนี้ รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันของทีมว่ามีทิศทางเป็นอย่างไรบ้างซึ่งต้องมาดูกันว่าในอนาคตจะได้มีแข้งจากไทยไปโลดแล่นในลีก วัน ให้ชาวโลกได้เห็นถึงฝีเท้าบ้างหรือไม่

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ