ข่าว

จอมคนสโมสรผู้ไร้วาสนาในนามทีมชาติ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน ฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้ายที่รัสเซียก็จะเปิดฉากขึ้น

ทำให้เวลานี้บรรดาดาวเตะแต่ละรายต้องพยายามเค้นฟอร์มที่ดี่ที่สุดออกมาเพื่อโอกาสลุ้นติดเป็น 1 ใน 23 ขุนพลสู้ศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

อย่างไรก็ตามนักเตะบางคนก็เหมือนถูกโชคชะตากลั่นแกล้ง เพราะต่อให้จะทำได้ดีกับสโมสรแค่ไหนแต่สุดท้ายในนามชาติก็ไม่ค่อยได้รับโอกาสเสียเท่าไหร่ทั้งที่บางรายมีดีกรีเป็นถึงดาวเตะระดับตำนานของสโมสร

เมาโร อิคาร์ดี-เปาโล ดิบาลา (อาร์เจนตินา)

2 สตาร์อาร์เจนไตน์ คือ ตัวอย่างล่าสุดของดาวเตะที่เก่งกาจในระดับสโมสรแต่ส่อเค้าจะอาภัพโชคในนามทีมชาติ เมื่อล่าสุด ฮอร์เก ซามเปาลี นายใหญ่ทีมฟ้าขาว ออกมากล่าวให้รู้เป็นนัยๆ ว่าสองหัวหอกแห่งเวทีกัลโช เซเรีย อา อาจพลาดตั๋วไปลุยฟุตบอลโลกกลางปีนี้

บนวัย 25 ปี อิคาร์ดี ยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นมาจนเป็นหนึ่งในหัวหอกที่อันตรายคนหนึ่งในลีกมะกะโรนี โดยฤดูกาลนี้ซัลโวไป 22 ตุง พร้อมรั้งตำแหน่งรองดาวซัลโวของลีก แถม 3 จาก 4 ซีซั่นหลังสุดยิงแตะหลัก 20 ประตูขึ้น ขณะที่ ดิบาลา เปรียบได้กับดาวจรัสแสงที่กำลังส่องประกายเจิดจ้ากับยูเวนตุสเวลานี้

อย่างไรก็ตามต่อให้ทั้งคู่โชว์ฟอร์มสม่ำเสมอกับสโมสรแค่ไหน แต่โอกาสลุ้นติดไปรัสเซียก็ยังน้อยอยู่ที่เมื่อแนวรุกอาร์เจนตินาชั่วโมงนี้มีทั้ง กอนซาโล อิกัวอิน, อังเคล ดิ มาเรีย และลิโอเนล เมสซี ไว้ให้ใช้งาน

“ในฐานะโค้ชทีมชาติอาร์เจนตินา ผมต้องให้ความสำคัญกับนักเตะที่เล่นเข้าขากันในสนามมากที่สุดก่อน” เหตุผลที่ซามเปาลี อธิบายเที่ยวล่าสุดน่าจะบอกถึงโอกาสของอิคาร์ดี กับดิบาลา ในฟุตบอลโลกหนนี้ได้ดีที่สุด

มาร์ค โนเบิล (อังกฤษ)

ถึงไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นกองกลางที่มีทักษะหรือเทคนิคที่แพรวพราวมากนัก แต่ดาวเตะลูกหม้อของ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก็ถือเป็นมิดฟิลด์ที่ผลงานคงเส้นคงวามากที่สุดคนหนึ่งบนเกาะอังกฤษ

โนเบิล เป็นหนึ่งในกองกลางฝีเท้ามาตรฐาน โดยปักหลักค้าแข้งให้เวสต์แฮมมาแล้ว 14 ฤดูกาล นับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัวเมื่อปี 2004 โดยติดทัพ “สิงโตคำราม” มาแล้วทุกชุดตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ไปจนถึง 21 ปี แต่ชุดเดียวที่ไม่เคยถูกเรียกไปใช้งานก็คือทีมชาติชุดใหญ่ ทั้งที่เคยมีดีกรีเป็นถึงกัปตันทีมชุด 21 ปี ที่ก้าวไปถึงตำแหน่งรองแชมป์ยุโรปเมื่อปี 2009 และเป็นทัวร์นาเมนท์สุดท้ายก่อนจะหายไปจากสารบบของทีมชาติอังกฤษ

เอริค คันโตนา (ฝรั่งเศส)

ชื่อชั้นเป็นถึงตำนานของพรีเมียร์ลีกในยุค 90 กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่กับฝรั่งเศส คันโตนา ถูกมองว่าเป็นแค่นักเตะธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

คันโตนา มักจะมีปัญหากับคนใหญ่คนโตเสมอๆ เวลาถึงทัวร์นาเมนท์ใหญ่ ไม่ลงรอยกับ อองรี มิเชล กุนซือทีมชาติจนไม่มีชื่อติดทีมเมื่อปี 1988 แตกหักกับ ดาวิด ชิโนลา ที่เป็นชนวนเหตุให้ตราไก่พลาดไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อปี 1944 ที่สหรัฐ โดยตอนนั้น “ก็องโต” ยังสวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมอีกด้วย

ฟางเส้นสุดท้ายในนามทีมชาติมาสะบั้นลงเมื่อไปก่อเรื่องงามหน้า “กังฟูคิก” ใส่แฟนบอลคริสตัล พาเลซ ที่เซลเฮิร์สท์ พาร์ค จนโดนแบนยาว 8 เดือน จากนั้นโดนริบปลอกแขนกัปตันทีมและถูกขับออกจากทีมชาติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลังพ้นโทษแบน คันโตนา ไม่เคยได้กลับมารับใช้ทีมชาติอีกเลยก่อนจะออกมาประกาศแขวนสตั๊ดแบบช็อกโลกก่อนที่ทัวร์นาเมนท์ “ฟรองส์ 98” จะเปิดฉากขึ้น 1 ปี

เปาโล ดิ คานิโอ (อิตาลี)

ดาวเตะระดับขึ้นหิ้งของเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยตอนที่ยังพะเนียงแข้งในเวทีลีกสูงสุดของอังกฤษถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับตำนานลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีได้เลยทีเดียว

เพียงฤดูกาลแรกกับเวสต์แฮม “ดิ คานิโอ” พาทีมจบอันดับ 5 ของตารางพร้อมคว้าสิทธิ์ไปเล่นบอลถ้วยยุโรปและได้รับการโหวตจากแฟนๆ ให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร ก่อนที่จากนั้นจะใช้เวลาอยู่กับทีมนาน 5 ฤดูกาล ฝากสถิติลงเล่น 141 ยิงไป 52 ประตู

ถึงจะเป็นดาวเตะระดับขึ้นหิ้งของสโมสรแต่ ดิ คานิโอ ถือว่าค่อนข้างไร้วาสนาในทีมชาติ เพราะช่วงที่เล่นอยู่อิตาลี ดันมีนักเตะที่สไตล์ใกล้เคียงกันอย่าง โรแบร์โต บาจโจ, จูเซปเป ซินญอรี, จานฟรังโก โซลา อยู่แล้ว แถมพอดาวเตะเหล่านี้เริ่มโรยราก็ดันมาเป็นช่วงขาขึ้นของ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร และฟรานเชสโก ต็อตติ พอดิบพอดี

ไอลตัน, ยาร์เดล และเอลแบร์ (บราซิล)

หากจะให้ยกตัวอย่างนักเตะที่เก่งกับสโมสรเอามากๆ แต่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากทีมชาติต้องขอยกเคสของไอลตัน, ยาร์เดล และเอลแบร์ 3 ดาวเตะแซมบาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

คนแรกมีดีกรีเป็นถึงดาวซัลโวบุนเดสลีกา โดยผลงานสังหารประตูโดดเด่นจนพาแวร์เดอร์ เบรเมน ก้าวขึ้นมาคว้าถาดแชมป์ได้ในซีซั่นเดียวกับที่ได้ตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของลีกในฤดูกาล 2003-2004 แต่สุดท้ายดาวยิงเจ้าของผลงาน 149 ประตูในระดับสโมสรที่แฟนบอลคุ้นหูในชื่อไอลตัน ไม่เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิลแม้แต่หนเดียว

ขณะที่ 2 รายถัดมา คนหนึ่งสร้างชื่อจนขึ้นชั้นเป็นตำนานกับบาเยิร์น มิวนิค ขณะที่คนต่อมาผลงานทะลวงตาขายเอกอุถึงขั้นครองตำแหน่งรองเท้าทองคำยุโรปถึง 2 สมัย แต่เกียรติประวัติทั้งหมดไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาทั้งสามคนก้าวขึ้นไปสร้างชื่อในระดับชาติได้เลย เมื่อขุนพลแซมบายุคนั้นมีชื่อดาวเตะอย่าง เบเบโต, เอ็ดมุนโด, ริวัลโด และโรนัลโด ขวางหน้าอยู่

ตัวอย่างข้างต้นตอกย้ำให้รู้ว่าประโยคที่ว่า “ทำดีย่อมได้ดี” นั้นไม่จริงเสมอไป ผู้เล่นบางคนดีกับสโมสรแต่ไม่ได้ดีกับทีมชาติ บางรายเกิดมาเพื่อเป็นตำนานสโมสรแต่ไม่ใช่กับทีมชาติ และสิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดของเรื่องนี้ก็คือไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนสุดท้ายคุณก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแลอยู่ดี

เรียบเรียงโดย : พชร นาคจู

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ