ข่าว

มหากาพย์เกมพลิกนรกยูซีแอล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศึกยูฟ่า แชมเปี้้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย เลก 2 จะกลับมาลงหวดกันอีกครั้งในคืนนี้ (10 เม.ย)

โดย 2 คู่แรกที่จะลงห้ำหั่นกันนั้นหลายฝ่ายมองว่าแทบไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นมากนัก หลังจาก บาร์เซโลนา กุมความได้เปรียบมาท่วมท้นด้วยชัยชนะที่มีต่อ โรมา 4-1 

ส่วนอีกคู่ ลิเวอร์พูล ก็แทบจะแหย่ขาข้างหนึ่งไปรอในรอบก่อนรองชนะเลิศแล้วจากการปูพรมถล่มแมนเชสเตอร์ ซิตี มาก่อน 3-0 อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าเป็นเกมชิงเจ้ายุโรปไม่เคยมีนัดไหนที่ง่ายสำหรับทุกทีมที่ฝ่าด่านมาถึงรอบนี้ เพราะก่อนหน้านี้มีอยู่หลายหนเมื่อทีมที่กุมความได้เปรียบในเลกแรกดันมาพลาดเสียหน้าแบบเหลือเชื่อในเลก 2

 

นัด 1 เชลซี 3-1 บาร์เซโลนา

นัด 2 บาร์เซโลนา 5-1 เชลซี (ต่อเวลาพิเศษ)

รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 1999-2000

(รวมผล 2 นัด บาร์เซโลนา เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 6-4)

ก่อนที่เชลซี กับบาร์เซโลนา จะมาเป็นคู่อาฆาตกันบนเวทียุโปรเฉกเช่นปัจจุบัน น้อยคนนักจะจำได้ว่าทีมเจ้าบุญทุ่มเคยฝากรอยแค้นอันน่าเจ็บใจให้ทีมจากอังกฤษมาก่อนในช่วงรอยต่อของปี 2000

ในรอบรองชนะเลิศ ฤดูกาล 1999-2000 บาร์เซโลนา พลาดท่าให้เชลซี ของกุนซือ จานลูกา วิอัลลี มาก่อน 1-3 แต่พอกลับมาเล่นในคัมป์นูที่คุ้นเคย พวกเขาพลิกกลับมาเป็นฝ่ายเดินหน้าไล่ถลุงคู่แข่งจากเกาะอังกฤษแบบไม่ไว้หน้า ไล่ตั้งแต่ฟรีคิกขึ้นนำของ ริวัลโด ต่อด้วยลูกซัดเสียบเสาไกลของหลุยส์ ฟิโก ให้หนีเป็น 2-0 แม้ ทอเร อังเดร โฟล จะซัดตีตื้นมาได้ในครึ่งหลัง แต่ลูกโหม่งของดานี ก็ทำให้ต้องไปวัดกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษที่จากนั้นโมเมนตัมได้ไปอยู่ฝั่งทีมจากสเปนเรียบร้อยกระทั่งมาบวกเพิ่ม 2 ลูก จากจุดโทษของริวัลโด และลูกโขกปิดกล่องของ แพทริก ไคลเวิร์ต

 

นัด 1 เรอัล มาดริด 4-2 โมนาโก

นัด 2 โมนาโก 3-1 เรอัล มาดริด

รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 2003-2004

(ราวมผล 2 นัด เสมอกัน 5-5 “โมนาโก” เข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือน)

ปีมหัศจรรย์ของโมนาโก ที่แม้สุดท้ายจะไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันในการขึ้นเป็นเจ้ายุโรป แต่สิ่งที่พวกเขาได้ฝากไว้ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาของซีซั่น 2003-2004 ก็ถือว่าน่าจดจำไม่น้อย โดยเฉพาะการเขี่ยยักษ์ใหญ่อย่าง “ราชันชุดขาว” กระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปอย่างน่าเจ็บใจ

เกมแรกที่ซานติอาโก เบร์นาเบว ผลที่ออกมาเป็นไปตามคาดเมื่อขุนพล “กาลาคติกอส” กาลาติกิอสทุบชนะไป 4-2 แต่การเสียประตูทีมเยือนถึง 2 ลูกก็กลายมาเป็นชนวนเหตุให้ลูกทีมของคาร์ลอส เคย์รอช ต้องพบกับฝันร้ายในที่สุด เมื่อเกมนัด 2 ดันไปพลาดท่าแพ้พลิกล็อก 1-3 แถมที่เจ็บแสบไปกว่านั้นคือการโดน เฟร์นานโด มอริเอนเตส ศูนย์หน้าที่ปล่อยยืมไปให้คู่แข่งกลับมากะซวกตาข่ายต้นสังกัดที่แท้จริงต่อหน้าต่อตาแฟนโลส บลังโกส ทั้ง 2 นัด ชนิดไปกลับ

 

นัด 1 นาโปลี 3-1 เชลซี

นัด 2 เชลซี 4-1 นาโปลี (ต่อเวลาพิเศษ)

รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 2011-2012

(ราวมผล 2 นัด เชลซี เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 5-4)

ซีซั่น 2011-2012 คือฤดูกาลประวัติศาสตร์ของ “สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่สามารถขึ้นมาเขย่าบัลลังก์เจ้ายุโรปได้สำเร็จ แต่หน้าประวัติศาสตร์ครั้งนั้นอาจไม่ถูกเขียนขึ้นเลยถ้าปาฏิหาริย์ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายไม่เกิดขึ้น

เชลซีต้องบุกไปเยือนเหล่าขุนพลเนเปิลส์ภายใต้สถานการณ์ที่อลหม่านหลัง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ กุนซือชาวอิตาเลียน ขยับขึ้นมารับงานต่อจากอันเดร วิลลาส โบอาส ที่โดนสั่งปลดไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์ แถมผลงานในเลกแรกที่กุนซือโปรตุกีสฝากไว้ให้ ดิ มัตเตโอ มาแก้ลำในเลก 2 ถือว่าหนักเอาการทีเดียว 

อย่างไรก็ตมหลังผ่าน 50 นาที ในเกมนัด 2 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ดิดิเยร์ ดร็อกบา และจอห์น เทอร์รี ช่วยให้ทีมกลับมาได้เปรียบบ้างหลังบวกสกอร์ให้ทีมนำ 2-0 และผลรวมกลับมาเท่ากันที่ 3-3 

แต่สถานการณ์พลิกกลับไปทางฝั่งนาโปลีอีกครั้ง เมื่อ โกคาน อินแลร์ ตีไข่แตกอีก 5 นาทีถัดมา ยังดีที่จุดโทษของ แฟรงค์ แลมพาร์ด นาทีที่ 75 มาช่วยเซฟชีวิตให้ไปยื้อกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ และหลังผ่านไปได้ 15 นาทีของช่วงต่อเวลา บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ที่ตอนนี้แฟนสิงห์บลูส์ลืมไปแล้วว่าอยู่ไหนขันอาสารับบทพระเอกหวดประตูชี้ขาดให้ทีมในที่สุด

 

นัด 1 เอซี มิลาน 4-1 ลา คอรุนญา

นัด 2 ลา คอรุนญา 4-0 เอซี มิลาน

รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 2003-2004

(รวมผล 2 นัด ลา คอรุนญา เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 5-4)

ย้อนกลับไปยุคนั้น เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา ภายใต้การคุมทีมของฆาเบียร์ อิรูเรตา คือทีมที่อันตรายที่สุดทีมหนึ่งบนเวทีลา ลีกา สเปน เลยทีเดียว โดยมีดาวดังคับคั่งทั้ง นูเรดดิน ไนเบต, ฮวน การ์ลอส บาเลรอน, เปโดร มูนิติส และวอลเตอร์ ปันดิอานี กับ ดิเอโก ตริสตัน 2 ศูนย์หน้าตัวถล่มประตู

โดยซีซั่น 2003-2004 นอกจากแชมป์ชนิดหักปากกาเซียนของ ปอร์โต และม้ามืดอย่างโมนาโก แล้ว “ลา คอรุนญา” คืออีก 1 ทีมที่ได้รับการจับตาว่าจะก้าวขึ้นมาผงาดในถ้วยหูยักษ์รายการนี้เมื่อจัดการฝ่าด่านเอซี มิลาน ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายแบบปาฏิหาริย์ทั้งที่เกมแรกบุกโดนกะซวกห่างถึง 4-1 แต่ประตูทีมเยือนที่ควักออกมาจากถิ่นซาน ซีโร ของปันดิอานี ทำให้ในเลก 2 พวกเขายังพอเดินหน้าแบบมีหวังก่อนที่ปันดิอานี เจ้าเก่า, บาเลรอน, อัลเบิร์ต ลูเก และฟราน จะทำคนละประตูให้ทีมดังจากแคว้นคาลิเซียพลิกเข้ารอบด้วยประตูรวม 5-4

 

นัด 1 เปแอสเช 4-0 บาร์เซโลนา

นัด 2 บาร์เซโลนา 6-1 เปแอสเช

รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 2016-2017

 (รวมผล 2 นัด บาร์เซโลนา เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 6-5)

ย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาลที่แล้วซึ่งตอนนั้นเหล่าขุนพล “อาซูลกรานา” ยังอยู่ภายใต้บัญชาการของหลุยส์ เอ็นริเก พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบในเลก 2 ด้วยสกอร์ห่างมากสุด 4 ประตู

เกมแรกในถิ่นปาร์ค เด แพรงส์ “บาร์ซา” บุกไปโดนปารีส แซงต์ แชร์กแมง กะซวกมาแบบไม่ไว้หน้า 4-0 โดยเวลานั้นลูกทีมของ อูไน เอเมรี ต่างฝันหวานถึงการผ่านเข้าไปรอเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศไปแล้วชนิดไม่มีใครคาดคิดว่าอีกประมาณ 3 สัปดาห์ต่อมาจะเกิดการพลิกล็อกที่มโหฬารที่สุดบนสังเวียนเจ้ายุโรป โดยมหกรรมเรียงหน้าถล่มประตูเศรษฐีแดนน้ำหอมเริ่มจากหลุยส์ ซัวเรซ โขกประตูแรกหลังเกมเริ่มไปได้แค่ 3 นาที ต่อด้วย เลแวง คูร์กซาวา สกัดบอลเข้าประตูตัวเองนาทีที่ 40 จุดโทษของ ลิโอเนล เมสซี นาทีที่ 50

แม้ เอดินสัน คาวานี จะซัดให้เปแอสเช ตีตื้นมาเป็น 3-1 พร้อมกุมความได้เปรียบด้วยกฎประตูทีมเยือนที่ทำให้เวลานั้นทีมเจ้าบุญทุ่มต้องยิงอีกถึง 3 ลูกหากหวังพลิกเข้ารอบ ซึ่งตอนนั้นกับเวลาที่เหลืออีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลายคนคิดว่าทีมจากสเปนคงต้องบอกลาถ้วยนี้แน่นอนแล้ว 

แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาใช้เวลา 7 นาทีสุดท้ายรวมช่วงทดเวลาบาดเจ็บมายิงสามลูกรวดจากการเหมา 2 ประตูจากฟรีคิกและจุดโทษในนาที 88 และทดเจ็บนาทีที่ 91 ของเนย์มาร์ กระทั่ง แซร์จี โรเบร์โต สวมบทฮีโร่ซัลโวประตูประวัติศาสตร์ในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายของการแข่งขันพร้อมพาทีมพลิกนรกตีตั๋วสู่รอบก่อนรองชนะเลิศไปแบบสุดระทึก

ตัดกลับมาในเวลานี้คงต้องมารอดูกันว่า แมนฯ ซิตี ของ เป๊ป กวาร์ดิโลา จะหายจากอาการเมาหมัดที่เพลี่ยงพล้ำให้คู่แข่งมา 2 นัดติดได้หรือไม่ เช่นเดียวกับที่กรุงโรมซึ่งมีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นถึงจะทำให้ โรมา เดินตามรอยบรรดาทีมพลิกนรกที่กล่าวมาได้

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ