ข่าว

ส่องตัวเต็งกุนซือยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้ประกาศโผ 6 กุนซือที่มีชื่อเข้าชิงรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2017-18 ของลีกสูงสุดแดนผู้ดี

     โดย 6 เทรนเนอร์ที่ติดมานั้นประกอบไปด้วย เป๊ป กวาร์ดิโอลา (แมนเชสเตอร์ ซิตี), เจอร์เก้น คล็อปป์ (ลิเวอร์พูล) ฌอน ไดค์ (เบิร์นลีย์), รอย ฮอดจ์สัน (คริสตัล พาเลซ), ราฟาเอล เบนิเตซ (นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด) และคริส ฮิวจ์ตัน (ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน)

      อย่างไรก็ตามไม่มีรายชื่อของ โชเซ่ มูรินโญ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ที่พาทีมจ่อคว้าอันดับ 2 ของลีกเต็มที และ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน (ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์) ซึ่งรั้งอันดับ 4 ของตาราง และมีลุ้นไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในซีซั่นหน้า

     สำหรับเฮดโค้ชที่ติดโผมาแต่ละคนก็มีผลงานที่โดดเด่นแตกต่างกันไป แต่ใครกันซึ่งจะมีภาษีดีที่สุดซึ่งจะคว้ารางวัลดังกล่าวไปครอบครองในท้ายที่สุด
 

1.เป๊ป กวาร์ดิโอลา (แมนเชสเตอร์ ซิตี)

     คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะบอกว่าเทรนเนอร์ชาวสแปนิชรายนี้คือเต็งหนึ่งที่จะคว้ารางวัลดังกล่าวไปครอง เพราะเขาคือคนที่พาทีม “เรือใบสีฟ้า” คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2017-2018 ไปครอง พร้อมเป็นแชมป์สมัยที่ 5 ของสโมสรต่อจากฤดูกาล 1936-37, 1967-68, 2011-12 และ2013-14
     สำหรับ กวาร์ดิโอลา เข้ามาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี เมื่อซีซั่นที่แล้ว แต่กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเนื่องจากไม่มีถ้วยรางวัลติดมือ แถมได้เพียงอันดับ 3 ในลีกเท่านั้น อย่างไรก็ตามในฤดูกาลนี้เจ้าตัวผ่าตัดทีมขนานใหญ่ เริ่มจากการปรับเกมรับ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเกมรุกของพวกเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่ซีซั่นก่อน เพราะสามารถยิงได้ถึง 80 ลูก เป็นรองเพียง เชลซี และสเปอร์ส แต่ด้วยเกมรับที่หละหลวมทำให้พวกเขาไม่ถึงฝั่งฝัน
     ถึงกระนั้นในปีนี้อดีตกุนซือบาร์เซโลนา ซื้อนักเตะเพื่อมาอุดช่องโหว่ของทีมในเกมรับโดยเฉพาะ ทั้ง เอแดร์สัน, เบนจาแมง เมนดี และอายเมอริค ลาปอร์เต ซึ่งก็ส่งผลให้ทีมเกิดความสมดุลทั้งเกมรุก และรับ จนส่งผลให้ผลงานติดลมบนด้วยการคว้าแชมป์ตั้งแต่นัดที่ 32 ของซีซั่น พร้อมยิงไปแล้ว 102 ลูก เสียเพียง 26 ลูก ขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 2 นัด

2.เจอร์เก้น คล็อปป์ (ลิเวอร์พูล)

    สำหรับฤดูกาลที่ 3 ของเจ้าตัวกับทีม “หงส์แดง” ถือว่าเริ่มเข้าที่เข้าทาง หลัง 2 ซีซั่นแรกยังมีปัญหาให้ต้องแก้ไขมากมายโดยเฉพาะในเกมรุกที่ ลิเวอร์พูล ยิงได้ถึง 80 ลูกซึ่งเป็นรองแค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี คนเดียวเท่านั้น
    โดยแท้ที่จริง ลิเวอร์พูล เป็นอีกหนึ่งทีมที่ได้รับการจับตามองว่าเป็นหนึ่งในทีมที่มีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังการเข้ามาของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่ประสานงานกับ โรแบร์โต ฟีร์มีโน และซาดิโอ มาเน ได้อย่างลงตัว
     ถึงกระนั้นหลังจากผ่านมาสักระยะฟอร์มของพวกเขาก็ดร็อปลงไป เนื่องด้วยปัญหาในเกมรับ รวมถึงนักเตะตัวหลักได้รับบาดเจ็บจนสุดท้ายต้องมาลุ้นท็อปโฟร์แทน อย่างไรก็ตามแม้ผลงานในลีกจะไม่โดดเด่น แต่กุนซือชาวเยอรมัน ก็ได้รับคำชื่นชมอย่างมากในการแผนการเล่นเกมรุก รวมไปถึงการให้โอกาสแข้งดาวรุ่งลงสนามในทีมชุดใหญ่อย่างสม่ำเสมอจนมีลุ้นรางวัลดังกล่าวไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

3. ฌอน ไดค์ (เบิร์นลีย์)

     อดีตกองหลังของทีมเบอร์มิงแฮม รายนี้ ถือว่าเป็นผู้จุดประกายความสำเร็จของสโมสร เบิร์นลีย์ อย่างแท้จริงเพราะเจ้าตัวคือคนที่พาทีมขึ้นมาอยู่ในศึกพรีเมียร์ลีก เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรเมื่อฤดูกาล 2015-2016 พร้อมพาทีมอยู่รอดในลีกสูงสุดในแดนผู้ดีได้อย่างแข็งแกร่งโดยไม่ต้องไปลุ้นหนีตกชั้นเลยสักปี
     โดยก่อนฤดูกาลนี้จะเริ่มต้น เบิร์นลีย์ ได้รับการคาดเดาจากสื่อว่าจะเป็นหนึ่งในทีมตัวเต็งที่จะต้องลงไปเล่นในฟุตบอล เดอะ แชมเปียนส์ชิพ หลังใช้เงินในการเสริมทีมน้อยมากเมื่อเทียบกับทีมในระดับเดียวกัน รวมไปถึงเริ่มถูกจับทางแท็คติกที่เน้นลูกกลางอากาศในการโจมตีคู่แข่ง
     ถึงกระนั้นแม้จะถูกคาดเดาเรื่องแผนการเล่นได้ รวมถึงมีตัวผู้เล่นให้เลือกใช้อย่างจำกัด แต่เทรนเนอร์วัย 46 ปีได้ใส่คำว่าทีมเวิร์คเข้าไปในทีม ทำให้นักเตะของเขามีความฮึกเหิม และใจสู้ตลอด 90 นาทีไม่ว่าจะเจอกับทีมใดก็ตาม รวมไปถึงเกมในถิ่นเทิร์ฟ มัวร์ ซึ่งพวกเขาโกยคะแนนกับทีมใหญ่ได้มากมาย ทั้งการเอาชนะ เชลซี 3-2 รวมถึงการเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี
      และด้วยความที่เขา และลูกทีมเล่นด้วยความไม่กดดันก็ส่งผลให้ตารางคะแนนของทีมขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายสามารถยึดอันดับ 7 ของตารางในซีซั่นนี้ แซงหน้า เลสเตอร์ ซิตี และเอฟเวอร์ตัน ซึ่งเป็นทีมที่มีศักยภาพนักเตะดีกว่า พร้อมได้โควต้าไปเล่นในฟุตบอลยูโรปา ลีก ฤดูกาลหน้า โดยเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปีของสโมสรอีกด้วย

4.รอย ฮอดจ์สัน (คริสตัล พาเลซ)

      เชื่อว่าแฟนๆของทีม “ปราสาทเรือนแก้ว” หลายคนต้องปวดหัวเมื่อได้รับข่าวว่าสโมสรจะดึงตัว รอย ฮอดจ์สัน กุนซือขรัวเฒ่าเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แทนที่ แฟรงค์ เดอ บัวร์ ที่คุมทัพลงแข่งได้เพียง 4 เกม แต่แพ้รวดทั้ง 4 นัดจนทีมต้องกระเด็นไปอยู่อันดับสุดท้ายของตาราง
     โดยสาเหตุที่แฟนๆของทีม คริสตัล พาเลซ ต้องเป็นกังวลเนื่องจากเทรนเนอร์วัย 70 ปีรายนี้ไม่ประสบความสำเร็จเลยจากการคุมทีมในช่วงหลังทั้งกับ ลิเวอร์พูล รวมไปถึงทีมชาติอังกฤษ ที่พาทีม “สิงโตคำราม” ตกรอบ 6 ทีมสุดท้าย ยูโร 2016 ด้วยน้ำมือไอซ์แลนด์จนต้องลาออกจากตำแหน่งไป
     และหลังจากที่เขาเข้ามาคุมทัพ สถานการณ์ของทีมก็ยังไม่ดีขึ้น เพราะ คริสตัล พาเลซ พ่ายต่ออีก 3 เกมรวด ทำให้แฟนๆเริ่มทำใจแล้วว่าทีมรักของตนเองมีสิทธิ์สูงที่จะตกไปอยู่ลีก แชมเปียนชิพ ในฤดูกาลหน้า
     อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนของซีซั่นก็เกิดขึ้นเมื่อ ฮอดจ์สัน พาทีมเอาชนะ เชลซี ได้ 2-1 ในเกมที่ 8 ของฤดูกาล ซึ่งนั่นทำให้พวกเขามีกำลังใจกลับมา และเร่งผลงานขึ้นมาเรื่อยๆ จนในนัดที่ 12-23 ของซีซั่นนั้นพวกเขาแพ้เพียง 2 เกม พร้อมขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 14 ของตารางเมื่อเดือน ธ.ค. และนับตั้งแต่เกมที่ 33 ถึงเกมที่ 37 พวกเขาไม่แพ้ใครเลย โดยแบ่งเป็นชนะ 3 เสมอ 2 และทะยานมาอยู่อันดับ 11 ของตาราง พร้อมหนีตกชั้นได้เป็นที่เรียบร้อย
      โดยเครดิตทั้งหมดต้องยกให้กับเทรนเนอร์จอมเก๋ารายนี้ ที่เขามาปรับสมดุลของทีม โดยดึงศักยภาพของนักเตะหลายๆคนขึ้นมา ทั้ง คริสติย็อง เบนเตเก, มามาดู ซาโก และวิลฟรีด ซาฮา เป็นต้น รวมถึงการกล้าเปิดเกมบุกกับทีมใหญ่ๆมากขึ้นจนทำให้ทีมรอดตกชั้นได้อย่างสวยงาม

     และนี่คือ 4 กุนซือที่มีสิทธิ์จะคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2017-2018 ไปครอง โดยทางพรีเมียร์ลีกได้เปิดให้แฟนบอลทั่วโลกร่วมกันโหวตรางวัลผู้จัดการยอดเยี่ยมแห่งปีนี้ด้วยผ่านทางเว็บไซต์ภายในวันที่ 10 พ.ค. ก่อนนำผลโหวตในส่วนนี้ไปรวมกับผลการตัดสินจากคณะกรรมการของพรีเมียร์ลีก และประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พ.ค.ต่อไป

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ