ข่าว

เช็คความพร้อมก่อนนัดชิงฯยูซีแอล2017-2018

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อีกไม่กี่อึดใจแล้วสำหรับศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2017-2018 รอบชิงชนะเลิศที่จะมีขึ้นในวันเสาร์นี้ (26 พ.ค.)

     สำหรับฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับอาชีพถ้วยใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นทวีปที่รวมทีมดังระดับโลกไว้มากมาย ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา และบาเยิร์น มิวนิค เป็นต้น

     จนสุดท้ายแล้วในการแข่งขันฟุตบอลยูซีแอล ซีซั่น 2017-2018 ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 63 ก็ได้ 2 ทีมสุดท้ายที่จะเข้ามาชิงดำในรายการนี้ นั่นก็คือ เรอัล มาดริด แชมป์เก่า 12 สมัยจากสเปน และลิเวอร์พูล แชมป์เก่า 5 สมัยจากอังกฤษ

     โดยตำแหน่งแชมป์ของรายการนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากของทั้ง 2 ทีม ทั้งในเรื่องความสำเร็จ รวมถึงเรื่องศักดิ์ศรีในการครองเจ้ายุโรปตัวจริง

แฮตทริกแชมป์ยูซีแอลของ “เรอัล มาดริด”
     ต้องยอมรับเลยว่าช่วงหลัง “ราชันชุดขาว” คือทีมเจ้ายุโรปอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกเขาทำสถิติคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้ 2 สมัยซ้อนเป็นทีมแรก ในฤดูกาล 2015-2016 ที่เอาชนะจุดโทษ แอตเลติโก มาดริด และฤดูกาล 2016-2017 ที่เอาชนะ ยูเวนตุส ได้ 4-1
     มาในซีซั่นนี้แม้ผลงานในลีกของพวกเขาจะดร็อปลงไปแบบน่าใจหาย แต่ผลงานในฟุตบอลยูซีแอลก็ยังแข็งแกร่งเช่นเดิม แม้ในแบ่งกลุ่มพวกเขาจะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยตำแหน่งรองจ่าฝูงกลุ่ม เอช โดยเป็นรอง สเปอร์ส อยู่ 3 คะแนน
     จนในรอบ 16 ทีมสุดท้าย “ราชันชุดขาว” ต้องพบกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทีมแกร่งจากฝรั่งเศส ที่มีซูเปอร์สตาร์ทั้ง เอดินสัน คาวานี และคิเลียน เอ็มบัปเป นำทัพ แต่ด้วยความเก่า และประสบการณ์ทำให้พวกเขาลิ่วเข้าสู่รอบ 8 ทีมจากสกอร์รวม 2 นัด 5-2
    มาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย เรอัล มาดริด ต้องพบศึกหนักกับ ยูเวนตุส ที่หวังจะพา จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน คว้าแชมป์ยูซีแอลเป็นครั้งแรกให้ได้ โดยในเกมแรก มาดริด บุลถล่ม “ม้าลาย” ได้แบบขาดลอยคาถิ่น 3-0 ซึ่งทำให้โอกาสในการเข้ารอบรองชนะเลิศของพวกเขามีสูงมากขึ้น ถึงกระนั้นในเกมที่ 2 ยูเวนตุส กลับมาเอาคืนด้วยการยิงนำไป 3-0 แต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แชมป์เก่า 12 สมัย มาได้จุดโทษ และเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด ที่ยิงพาทีมผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกได้สำเร็จ ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 4-3
     รอบรองชนะเลิศ เรอัล มาดริด ต้องเจอกับอีก 1 บิ๊กทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ที่มีความแกร่งไปทั่วแผ่น แต่ก็เป็น “โลส บลังโกส” ที่ชิงความได้เปรียบด้วยการบุกชนะ “เสือใต้” ได้ถึงถิ่น 2-1 ก่อนจะมายันเสมอที่ซานติอาร์โก้ เบร์นาเบว 2-2 พร้อมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

“ลิเวอร์พูล”กับแชมป์ยุโรปสมัยที่6
     ห่างหายจากรายการนี้ไปนานสำหรับทีม “หงส์แดง” โดยครั้งล่าสุดที่พวกเขาผ่านเข้ามาสู่รอบแบ่งกลุ่มได้คือ 2009–10 ก่อนจะได้หวนสู่สังเวียนยุโรปถ้วยใหญ่อีกครั้งในปีนี้ และได้แชมป์ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2004–05
     โดย ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการเก็บ 12 แต้มจาก 6 นัด พร้อมส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยตำแหน่งแชมป์กลุ่มอี
    ส่วนรอบ 16 ทีมสุดท้าย ลิเวอร์พูล ต้องดวลกับ ปอร์โต ทีมดังจากโปรตุเกส ซึ่งผลปรากฏว่าก็ผ่านมาได้ด้วยสกอร์รวม 2 นัดถึง 5-0 และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปพบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี 1 ใน 3 ทีมที่มีลุ้นแชมป์มากที่สุดในเวลานั้น และหลายฝ่ายมองว่า ลิเวอร์พูล คงจบเส้นทางเพียงเท่านี้
     อย่างไรก็ตามทีมดังแห่งถิ่นแอนฟิลด์ กลับหักปากกาเซียน ด้วยการล้ม “เรือใบสีฟ้า” ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 5-1 พร้อมผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกไปพบกับ โรมา ที่ล้ม บาร์เซโลนา มาได้แบบพลิกความคาดหมายเช่นเดียวกัน
     และในรอบรองชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เอาชนะไปได้ก่อนในเกมแรกถึง 5-2 ซึ่งแม้นัดที่ 2 จะโดน “หมาป่ากรุงโรม” เอาคืนในบ้าน 2-4 แต่สุดท้ายเป็น “หงส์แดง” ที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ด้วยสกอร์รวม 7-6 และมีลุ้นคว้าแชมป์ยุโรปถ้วยใหญ่เป็นสมัยที่ 6 ของสโมสร

การเจอกันของ 2 ทีมเกมรุก
     เป็นที่ทราบกันดีว่าจุดเด่นของทั้ง เรอัล มาดริด และลิเวอร์พูล คือการเล่นเกมรุก เพราะทั้ง 2 ทีมมีแผนการเล่นที่คล้ายๆกัน นั่นก็คือ 4-3-3 และมีผู้เล่นที่น่าจับตามอง คือ ตำแหน่งเกมรุก 3 คน นั่นก็คือ แกเร็ธ เบล, คริสเตียโน่ โรนัลโด และคาริม เบนเซมา ของ “ราชันชุดขาว” และซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ของทีม “หงส์แดง”
     โดยในฝ่ายแรกมี “ซีอาร์เซเว่น” เนื่องจากเจ้าตัวกดไปแล้ว 15 ลูกในศึกยูซีแอลซีซั่นนี้ พร้อมนำในตำแหน่งดาวซัลโว ซึ่งถือว่าจะเป็นนักเตะที่ ลิเวอร์พูล จะละเลยไม่ได้ เพราะเขาสามารถทำประตูสำคัญในเกมสำคัญได้เสมอ ขณะที่ของ ลิเวอร์พูล 3 ประสานเกมรุก ทั้ง มาเน, ฟีร์มิโน และซาลาห์ ทำประตูได้พอๆกันคือ 9, 10 และ10 ตามลำดับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของทั้ง 3 รายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นต้องมาวัดกันว่าในนัดชิงชนะเลิศนี้ เกมรุกของทีมใดจะทำงานมากกว่ากัน
    ส่วนในตำแหน่งอื่นๆไล่จาก ผู้รักษาประตู, กองหลัง และกองกลาง นั้น เรอัล มาดริด ดูดีกว่าเล็กน้อยเนื่องด้วยชื่อชั้นนักเตะ และประสบการณ์ในฟุตบอลถ้วยยุโรปถ้วยใหญ่ แต่ทาง “หงส์แดง” เองคงจะเตรียมตัวกับการรับมือคู่แข่งมาเป็นอย่างดีเช่นกัน
     ขณะที่ในส่วนของกุนซือ ซีเนดีน ซีดาน เทรนเนอร์ เรอัล มาดริด แม้จะขึ้นมาเป็นเฮดโค้ชหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล แต่ในเวทียุโรป ซีดาน ถือว่าทำได้ดีกว่าด้วยการคว้าแชมป์มาแล้ว 2 สมัย แต่ คล็อปป์ ทำได้ดีที่สุดคือการพา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นรองแชมป์ในปี 2013

     ทั้งหมดที่กล่าวมาคือการไล่เรียงความพร้อม รวมถึงเรื่องต่างๆที่นาสนใจก่อนนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2017-2018 จะเริ่มขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วต้องมาดูกันว่าทีมใดจะครองตำแหน่งเจ้ายุโรปตัวจริงของซีซั่นนี้ไปครอง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ