ข่าว

"เอ็นบีเอ ไฟนอลส์ 2018"ศึกตัดสินตำแหน่งแชมป์ยัดห่วงแดนมะกัน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการแข่งขันบาสเก็ตบอล เอ็นบีเอ ประจำฤดูกาล 2018 หลังจากเริ่มเปิดฉากซีซั่นมาตั้งแต่เดือน ต.ค. ด้วยทีมแข่งขัน 30 ทีม

     โดยทั้ง 2 ทีมดังกล่าว นั่นก็คือ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ทีมแชมป์จากสายตะวันออก ที่เข้าชิงในปีนี้เป็นฤดูกาลที่ 4 ติดต่อกัน หลังเอาชนะซีรีส์ บอสตัน เซลติกส์ มาได้แบบหืดจับ 4-3 เกม ส่วนอีกทีมคือ โกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส ที่เฉือน ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์ มา 4-3 เกมเช่นกันในสายตะวันตก
สำหรับการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศครั้งนี้ซึ่งเป็นการพบกันเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันของทั้ง 2 ทีมจะแข่งขันหาผู้ชนะใน 4 จาก 7 เกมเหมือนกับรอบเพลย์ออฟ อย่างไรก็ดีก่อนที่เกมในรอบชิงชนะเลิศจะอุบัติขึ้น เรามาดูเส้นทาง รวมถึงประเด็นที่น่าสนใจของทั้ง 2 ทีมเพื่อเป็นการเตรียมตัวสู้ศึกสุดท้ายที่หมายถึงตำแหน่งแชมป์ในซีซั่นนี้

ฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนถ่ายของ “คาวาเลียร์ส”
     ในปีนี้ต้องยอมรับว่า “แคฟส์” เจอปัญหามากมายทั้งๆที่เป็นหนึ่งในทีมเต็งที่จะซิวถ้วยเอ็นบีเอ ปีนี้ไปครอง ทั้งๆที่พวกเขาได้ตัวซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่าง อิไซอาห์ โธมัส สุดยอดพอยต์การ์ดของทีม บอสตัน เซลติกส์ ซึ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการทำแต้มได้สูงสุดตลอด 2 ฤดูกาลหลังเข้ามาสู่ทีมเพื่อประสานงานกับ เลอบรอน เจมส์ พร้อมปล่อยตัว ไครี เออร์วิง การ์ดจ่ายตัวเก่งไปอยู่กับบอสตัน เซลติกส์ แทน ถึงกระนั้น เจมส์ กับ โธมัส กลับไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งเวลาลงเล่นร่วมกันได้ เนื่องจาก โธมัส ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนต้องพักยาว ประกอบกับการที่ผู้เล่นคนอื่นๆ อย่าง เดอร์ริค โรส, เจ.อาร์ สมิธ และเควิน เลิฟ พากันฟอร์มตกทั้งหมดจนส่งผลให้ทีมคว้าเพียงอันดับ 4 ของสายในฤดูกาลปกติด้วยสถิติ ชนะ 50 นัดแพ้ 32 นัด
     จนส่งผลให้ ไทรอนน์ ลู เฮดโค้ชจัดการเปลี่ยนถ่ายทีมครั้งใหญ่ ด้วยการดึงตัว 4 ผู้เล่นหน้าใหม่เข้าสู่ทีม ประกอบด้วย จอร์จ ฮิลล์ การ์ดจาก ซาคราเมนโต คิงส์, รอดนี ฮูด การ์ดจาก ยูทาห์ แจ๊ซซ์, จอร์แดน คลาร์กสัน การ์ด และแลร์รี แนนซ์ จูเนียร์ ฟอร์เวิร์ดจากแอลเอ เลเกอร์ส เข้ามาสู่ทีมแล้วโละ แชนนิง ฟราย, ดเวย์น เวด รวมถึง อิไซอาห์ โธมัส ที่เพิ่งดึงตัวมาออกจากทีม ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่เสียงพอสมควร
และการผ่าตัดทีมครั้งใหญ่นี้ทำให้ คาวาเลียร์ส กลับมาสู่ฟอร์มที่ควรจะเป็นอีกครั้ง ด้วยการประสานงานจากผู้เล่นประสบการณ์สูงกับผู้เล่นดาวรุ่ง ด้วยการเฉือน อินเดียนา เพเซอร์ส 4-3 เกม, ชนะ โตรอนโต แร็พเตอร์ส 4-0 และมาพบกับ บอสตัน เซลติกส์ ในรอบชิงแชมป์สาย
     โดยถึงแม้ว่า คาวาเลียร์ส จะพลาดท่าถูกขึ้นนำไปก่อน 2-3 แต่ด้วยประสบการณ์ และความนิ่งทำให้พวกเขาพลิกมาปิดซีรีส์ได้ด้วยสกอร์ 4-3 โดยนัดสุดท้ายเป็นการบุกชนะ เซลติกส์ ถึงถิ่น และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิสไปลุ้นแชมป์สมัยที่ 2 ของทีมได้สำเร็จ พร้อมเป็นการผ่านรอบชิงชนะเลิศเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันอีกด้วย

“วอร์ริเออร์ส”กับการลุ้นแชมป์สมัยที่ 6
    “นักรบทองคำ” ซึ่งมีดีกรีเป็นแชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้ว ถูกมองว่าเป็นเต็งแชมป์ในปีนี้ เนื่องจากสามารถเก็บซูเปอร์สตาร์ของทีมนำโดย 3 ทหารเสือ สตีเฟ่น เคอร์รี, เคลย์ ธอมป์สัน และ เควิน ดูแรนท์ เจ้าของรางวัลเอ็มวีพีปีที่แล้ว เอาไว้ได้อย่างครบครัน รวมถึงได้ สตีฟ เคอร์ หัวหน้าโค้ชที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บหลังรบกวนจากซีซั่นที่แล้ว กลับมามีสภาพร่างกายสมบูรณ์อีกครั้ง และเข้ามาคุมรแท็คติกข้างสนามอย่างเต็มตัว
    อย่างไรก็ตามในซีซั่นปกติ วอร์ริเออร์ส กลับถูกทีมฟอร์มแรงอย่าง ร็อคเก็ตส์ แซงคว้าตำแหน่งแชมป์สายไปได้ ขณะที่พวกเขาได้ตำแหน่งรองจ่าฝูงด้วยสถิติ ชนะ 52 แพ้ 24 เกม โดยสาเหตุที่ทำให้ทีมแชมป์เก่าฟอร์มแกว่ง เนื่องจากบรรดาผู้เล่นตัวหลัก ทั้ง สตีเฟ่น เคอร์รี และเคลย์ ธอมป์สัน ผลัดกันมีปัญหาอาการบาดเจ็บ และไม่ค่อยได้เล่นร่วมกันมากนัก
    จนมาถึงรอบเพลย์ออฟ วอร์ริเออร์ส ทำผลงานได้ตามมาตรฐาน ด้วยการไล่ถล่ม ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส 4-1 เกม, อัด นิว ออร์ลีนส์ เพลิแกนส์ 4-1 จนผ่านมาสู่รอบชิงแชมป์สายกับ ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์ คู่ปรับตัวฉกาจที่มี เจมส์ ฮาร์เดน นำทัพ 
    โดยเกมในรอบชิงแชมป์สายเป็นไปอย่างสูสี ทั้ง 2 ทีมผลัดกันแพ้-ชนะ จนกระทั่งในเกมที่ 5 ร็อคเก็ตส์ บุกชนะ “สะพานทอง” ได้ถึงถิ่นทำให้พลิกกลับมานำ 3-2 เกม ถึงกระนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามคาดเมื่อแชมป์เก่าพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะได้ 2 เกมรวดทำให้ทีมปิดซีรีส์ 4-3 เกม ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเพื่อไปลุ้นแชมป์สมัยที่ 6 ของสโมสรต่อจากปี 1975, 1976, 2015, 2016 และ2017
 

การดวลกันของ “เจมส์”-“เคอร์รี”
     ถ้าจะพูดถึงผู้เล่นคีย์แมนของทั้ง 2 ทีม ฝั่ง คาวาเลียร์ส คงหนีไม่พ้น เลอบรอน เจมส์ ฟอร์เวิร์ดซูเปอร์สตาร์ ขณะที่ฝั่ง วอร์ริเออร์ส ก็คือ สตีเฟ่น เคอร์รี การ์ดจอมเทคนิคที่พูดได้ยากว่าใครเก่งกว่าใคร เพราะทั้ง 2 คนก็มีจุดเด่นแตกต่างกัน
     สำหรับ เจมส์ ในซีซั่นนี้ถือว่ากลับมาระเบิดฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง หลังทำแต้มเฉลี่ยถึง 34 แต้มต่อเกม ซึ่งมากที่สุดในลีก นอกจากนั้นยังมีการแอสซิสต์ด้วยจำนวน 8.8 ครั้งต่อเกม โดยถือเป็นอันดับ 3 ของลีก ทำให้เขากลายเป็นทุกอย่างที่ทีมแชมป์จากสายตะวันออกจะขาดไม่ได้ ทั้งการเป็นผู้นำ, การทำเกม หรือการจบสกอร์ ซึ่งในปีนี้ เจมส์ ในอายุ 33 ปี หมายมั่นปั้นมือว่าจะคว้าแชมป์มาครองให้ได้ และพาทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เพราะเวลาของเจ้าตัวในสนามก็ถือว่าน้อยลงไปทุกที
     ส่วนทางฝั่ง เคอร์รี ในฤดูกาลนี้ถือว่าเงียบไปพอสมควร ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บทั้ง เข่า และข้อเท้าที่รบกวนตลอดทั้งปี จึงทำให้มีสถิติทำแต้มอยู่ 26.4 ต่อเกม ถึงกระนั้นในช่วงหลังผู้เล่นวัย 30 ปีคนนี้เปลี่ยนสไตล์การเล่นอย่างชัดเจนคือการเน้นทีมเวิร์คมากขึ้น และเล่นได้เข้าขากันดีอย่างมากกับ ธอมป์สัน และดูแรนท์ จนทำให้ทั้ง 2 ทีมมีความสูสีกันเป็นอย่างมาก ทำให้เรียกได้ว่าทั้ง 7 เกมที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้จะมีความเข้มข้น และน่าติดตามอย่างมากอย่าง

สถิติที่น่าสนใจของทั้ง 2 ทีม

    ทั้ง 2 ทีมเจอกันมาแล้วทั้งหมด 129 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1970 ซึ่งเป็น วอร์ริเออร์ส ที่เอาชนะไปได้มากกว่า 70-59 เกม
    การชิงชนะเลิศในครั้งนี้ถือเป็นการพบกันครั้งที่ 4 ของทั้ง 2 ทีม และเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยทั้งคู่พบกันในรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในปี 2015 ซึ่ง “นักรบทองคำ” เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 4-2 เกม ขณะที่ในปี 2016 “แคฟส์” เอาชนะไปได้ 4-3 เกม อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้ว วอร์ริเออร์ส กลับมาเป็นฝ่ายเอาชนะได้ 4-1 เกม
    คาวาเลียรส์ เคยชนะ วอร์ริเออร์ส ติดต่อกันถึง 10 เกมในปี 1992-1996 ขณะที่ วอร์ริเออร์ส ชนะ คาวาเลียรส์ ติดต่อกันได้ 7 เกมในปี 2015-2016
     ต้องมาดูกันว่าการพบกันเป็นครั้งที่ 4 ในรอบไฟนอลของทั้ง 2 คู่รักคู่แค้นดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มขึ้นในเช้าวันศุกร์ (1 มิ.ย.) ตามเวลาประเทศไทย ทีมใดจะเป็นฝ่ายกำชัย และครองตำแหน่งแชมป์ของศึกเอ็นบีเอในปีนี้ไปครอง  

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ