การคืนชีพกองทัพอัศวินสีส้ม

นี่คือ 2 ทัวร์นาเมนต์สำคัญที่ต้องปราศจากชื่อของเหล่าขุนพล“อัศวินสีส้ม” เนเธอร์แลนด์

แต่เวลานี้ความชอกช้ำที่กล้ำกลืนมาทั้งหมดกำลังถูกแทนที่ด้วยอนาคตและขุมกำลังยุคใหม่ที่สดใสพ่วงด้วยประสิทธิภาพ

ชัยชนะเหนือ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ในศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ลีก เอ กลุ่ม 1 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (17 พ.ย.) ทำให้ เนเธอร์แลนด์ ภายใต้การคุมทัพของ โรนัลด์ คูมัน เก็บอีก 3 แต้ม พร้อมกับมีเพิ่มเป็น 6 คะแนน ตามหลัง ฝรั่งเศส จ่าฝูง อยู่เพียงแต้มเดียวแถมยังเหลือเกมในมืออีก 1 นัด

โดยแมตช์บุกเยือน เยอรมนี ในคืนนี้ (19 พ.ย.) ขอแค่ผลเสมอเป็นอย่างน้อยก็จะแซงขึ้นจ่าฝูงและเข้ารอบทันทีแม้เฮด-ทู-เฮด จะเท่ากับทัพตราไก่ แต่ลูกได้เสียดาวเตะดัตช์ดีกว่าถึง 4 ประตู และหากคว้าแชมป์กลุ่มนอกจากจะได้เข้ารอบรองชนะเลิศแล้วยังการันตีว่าจะได้เพลย์ออฟฟุตบอล ยูโร 2020 หากทีมต้องตกรอบคัดเลือกในรายการดังกล่าว ความร้อนแรงดังกล่าวทำให้หลายคนสงสัยว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้โททัล ฟุตบอล ซึ่งเคยเสื่อมมนต์ขลัง กลับมาเป็น โททัล ฟุตบอล อย่างที่ทุกคนเคยจดจำได้อีกครั้ง

 

การมาถึงของคูมัน

การแต่งตั้ง โรนัลด์ คูมัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นปัจจัยแรกที่ช่วยให้ทัพ “ออรันเย” กลับมาอยู่ในรูปแบบที่ควรเป็นได้อีกครั้ง การผ่านงานกับยักษ์ใหญ่ลีกสูงสุดกังหันลมมาครบทุกทีม ไล่ตั้งแต่ วิเทสส์ อาร์เนม, อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน, อาแซด อัลค์มาร์ และ เฟเยนูร์ด ร็อตเธอร์ดัม จึงทำให้ คูมัน รู้จักฟุตบอลดัตช์เป็นอย่างดีจนสามารถสร้างสมดุลให้แก่ทีมชุดปัจจุบันอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน

ชนะ โปรตุเกส 3-0 (อุ่นเครื่อง), ชนะ เยอรมนี 3-0 และ ชนะ ฝรั่งเศส 2-0 นี่คือผลงานชิ้นโบแดงในรอบ 7 เดือนหลังสุดในฐานะนายใหญ่ของ คูมัน และหากนับย้อนกลับไปตั้งแต่เกมแพ้ อังกฤษ 0-1 ซึ่งเป็นแมตช์เปิดตัวในฐานะกุนซืออย่างเป็นทางการ คูมัน พาทีมแพ้ไปอีกแค่หนเดียวเท่านั้นในเกมเนชั่นลีกส์นัดแรกที่บุกไปเสียท่าฝรั่งเศส 1-2 ขณะที่อีก 7 เกมที่เหลือเสมอ 3 นัด และเก็บชัยไป 4 เกมด้วยกัน

นอกจากสถิติที่ยอดเยี่ยมแล้ว คูมัน ยังได้เสียงชื่นชมในเรื่องของรูปแบบการเล่นซึ่งหากใครชมเกมล่าสุดที่หยุดสถิติไม่แพ้ใครของ ฝรั่งเศส ไว้ที่ 15 นัด จะเข้าใจได้ทันทีเพราะทีมแชมป์โลกแพ้ในทุกเรื่องจริงๆ ทั้งสกอร์ที่ออกมารวมถึงการครองบอลและโอกาสยิงประตู

 

การกลับมาของ“เดอปาย”

และขาขึ้น“ไวจ์นัลดุม”

จุดโทษ “ปาเนนกา” ปิดกล่องในชัยชนะเหนือ ฝรั่งเศส นับเป็นประตูที่ 13 ในนามทีมชาติของอดีตดาวเตะที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด

นับเฉพาะปฏิทินปี 2018 เดอปาย มีส่วนร่วมกับประตูมากถึง 41 ประตูจาก 52 นัด ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ โดยแบ่งเป็นยิงไปทั้งหมด 23 ประตูและทำแอสซิสต์อีก 18 ครั้ง โดย คูมัน เคยกล่าวถึงลูกทีมรายนี้ตั้งแต่ก่อนทัวร์นาเมนต์เนชั่นส์ลีกว่า เขาตั้งความหวังกับ เดอปาย ไว้สูงมาก และดูเหมือนตอนนี้ดาวเตะ วัย 24 ปี จะไม่ทำให้เจ้านายผิดหวังแม้แต่น้อย

ขณะที่ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ซึ่งเคยร่วมงานกับ คูมัน มาแล้วสมัยอยู่กับเฟเยนูร์ด ถือว่ากำลังมีช่วงเวลาที่ดีเอามากๆ ทั้งกับสโมสรและทีมชาติ ซึ่งเรื่องนี้นายใหญ่ วัย 55 ปี ยอมรับว่าอดีตลูกศิษย์รายนี้มีพัฒนาการเล่นขึ้นมามากทีเดียว

“เขาเติบโตขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เขาเป็นกองกลางประเภทอเนกประสงค์ ตำแหน่งที่ดีที่สุด คือ กองกลางตัรุก แต่ที่ลิเวอร์พูลเขาทำให้เห็นว่าสามารถรับบทบาทตัวควบคุมเกมได้อย่างไม่มีปัญหา” คูมัน ย้ำถึงความสำคัญของมิดฟิลด์ วัย 28 ปี “เขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมและน่าร่วมงานด้วยคนหนึ่ง”

นอกจาก 2 ดาวเตะที่มีชื่อบนสกอร์บอร์ดเกมล่าสุดแล้ว แฟรงกี เดอ ยอง กองกลางดาวโรจน์, เวอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ มาเธียส เดอ ลิกต์ คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ คืออีกปัจจัยที่ช่วยส่งให้ทัพดัตช์ชุดนี้ดูเจิดจรัสขึ้นมา

รายของ เดอ ยอง ห้องเครื่องอาแจ็กซ์ วัย 21 ปี โชว์ให้เห็นคลาสที่เด่นเกินวัย ขณะที่เพื่อนร่วมทีม เดอ ลิกต์ วัย 19 ปี เพิ่งทำสถิติติดธง 12 นัด สูงที่สุดในบรรดาแข้งรุ่นเดียวกัน ส่วนรายของปราการหลังกัปตันทีม คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้มากความ

 

โปรแกรมเนชั่นส์ ลีก กลุ่ม ลีก เอ กลุ่ม 1 ในคืนนี้ (19 พ.ย.) ระหว่าง เนเธอร์แลนด์ กับ เยอรมนี จะลงเตะในเวลา 02.45 น. และเป็นเกมสุดท้ายของกลุ่ม 1 ซึ่งต้องรอดูกันว่าสุดท้ายคูมันและลูกทีม"อัศวินสีส้ม"จะปิดจ็อบนี้ด้วยบทสรุปอย่างไร

 

พชร นาคจู : เรียบเรียง