ข่าว

"แมนฯยูไนเต็ด-เชลซี"ศึกชิงตั๋วยูซีแอลแดนผู้ดี

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เหลืออีกไม่กี่้เกมเท่านั้นสำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2018-19

      ซึ่งถือเป็นลีกลูกหนังที่มีแฟนบอลติดตามมากที่สุดในโลก โดยในปีนี้ยังสนุกเข้มข้นสำหรับการชิงชัยในทุกตำแหน่ง ทั้งถ้วยแชมป์ที่ ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี กำลังเบียดกันอย่างสูสีด้วยช่องว่างเพียง 1 คะแนน

     ขณะที่การตกชั้นก็ยังต้องลุ้นว่าทีมใดจะเป็นสโมสรสุดท้าย ที่ต้องกระเด็นสู่ศึกลีกแชมเปี้ยนส์ชิพ ตามหลัง ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ และฟูแลม โดยขณะนี้เหลือเพียง คาร์ดิฟฟ์ ซิตี (อันดับ 18 มี 31 แต้ม), ไบร์ทตัน (อันดับ 17 มี 34 แต้ม) และเซาธ์แฮมป์ตัน (อันดับ 16 มี 36 แต้ม) ที่ต้องสู้กันจนหยดสุดท้าย

    อย่างไรก็ตามอีก 1 ตำแหน่งที่เรียกได้ว่าเบียดกันอย่างสนุก และต้องลุ้นไปถึงนัดสุดท้ายของซีซั่น นั่นก็คือ การคว้าอันดับ 3 และ4 ของในตารางคะแนน ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้โควตาไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า ซึ่งหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาล และการดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่ในการย้ายมาร่วมทีม

    ปัจจุบันมีมากกว่า 4 ทีมที่กำลังลุ้นตั๋วใบดังกล่าวอยู่ ประกอบด้วย ทอตแนม ฮอทสเปอร์ (70 แต้ม), เชลซี (67 แต้ม), อาร์เซนอล (66 แต้ม) และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (64 แต้ม) และมีความสูสีเป็นอย่างมากเนื่องจากแต่ลำตำแหน่งมีคะแนนห่างกันไม่เกิน 3 แต้ม

    และในสุดสัปดาห์นี้มีศึกบิ๊กแมตช์ที่เรียกได้ว่าเป็นการตัดสินโควตาดังกล่าวไม่มากก็น้อยหากทีมใดสามารถคว้าชัยชนะ นั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะเปิดสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด รับมือ เชลซี ในวันอาทิตย์นี้ (28 เม.ย.) เวลา 22.30 น.

     โดยก่อนศึกดังกล่าวจะเริ่มขึ้น มาดูประเด็นที่น่าสนใจ, ความพร้อม รวมถึงสถิติต่างๆที่ผ่านมาของทั้ง 2 ทีม

โลกแห่งความจริงของ“โซลชา”
    “การปลุกปีศาจ ต้องใช้คนที่มีดีเอ็นเอของปีศาจ” นี่คือคำที่แฟนๆ “เรด เดวิลส์” หลายคนกล่าวไว้ หลัง โอเล กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์ และอดีตกองหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอง เข้ามาคุมทัพแทนที่ของ ชูเซ มูรินโญ ที่ถูกปลดจากตำแหน่งหลังพาทีมโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก
     โดยเฮดโค้ชวัย 46 ปี เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับ “ปีศาจแดง” อย่างชัดเจน ทั้งเรื่องของสไตล์การเล่นที่เน้นเกมรุกมากขึ้น รวมถึงการกระตุ้นเหล่าบรรรดาแข้งดังให้กลับมาสู่ฟอร์มที่ดีอีกครั้ง ทั้ง ปอล ปอกบา และโรเมลู ลูกากู จนส่งผลให้พวกเขามีสถิติที่ยอดเยี่ยมในยุคของ “น้าโอเล” ด้วยการครองสถิติไม่แพ้ใครถึง 12 เกม และเป็นการเก็บชัยถึง 10 เกมในลีก และทำให้ทีมกลับมามีลุ้นไปเล่นในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบเต็มตัวอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่แฟนๆ “เรด อาร์มี” ทั่วโลกใฝ่ฝัน
    ทว่าหลังจากที่พวกเขาบุกพ่าย อาร์เซนอล คู่แข่งในตำแหน่งท็อปโฟร์ 0-2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เหมือนกลายเป็นอีกทีม เพราะทุกอย่างดูสะดุด และผิดพลาดไปหมด ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู, กองหลัง, กองกลาง และกองหน้า ที่ไม่สามารถทำผลงานได้ดีเหมือนเดิม และพ่ายไปอีก 3 จาก 5 เกมในลีกจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ โซลชา ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุนซือถาวรด้วยสัญญา 3 ปี ก็โดนตั้งคำถามว่าเจ้าตัวคือคนที่เหมาะสมกับทีมจริงๆหรือไม่ 
     ส่งผลให้เกมกับ เชลซี มีความหมายกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นอย่างมากเพราะไม่ใช่แค่เรื่องของผลการแข่งขัน แต่หมายถึงการกู้ศรัทธาของแฟนบอล และเรียกสปิริตของทีมให้กลับมาเหมือนในช่วงแรกที่ โซลชา เข้ามาคุมทีมอีกครั้ง

"แมนฯยูไนเต็ด-เชลซี"ศึกชิงตั๋วยูซีแอลแดนผู้ดี

“ซาร์รี”กับซีซั่นที่น่าผิดหวัง
    เชื่อว่าก่อนซีซั่นนี้จะเริ่มต้นขึ้นแฟนๆของ “สิงห์บลูส์” ต้องรู้สึกพอใจที่ทีมได้ตัวเทรนเนอร์ชาวอิตาเลียนรายนี้มาคุมทัพแทนที่ อันโตนิโอ คอนเต ที่ถูกปลดออกไป ด้วยความสำเร็จในศึกกัลโช เซเรีย อา กับ นาโปลี รวมถึงสไตล์การเล่นที่สวยงาม และเน้นเกมรุก ซึ่งหลายคนขนานนามว่า “ซาร์รี บอล”
    ส่วนการเสริมทัพ “สิงห์บลูส์” ก็ได้แข้งหน้าใหม่ที่มีชื่อชั้นเข้ามา ทั้ง จอร์จินโญ กองกลางซึ่งถือเป็นแข้งฟันเฟืองสำคัญในระบบการเล่นของ ซาร์รี ตั้งแต่อยู่กับ “เดอะ เนเปิลส์”, เกปา อาร์ริซาบาลากา ผู้รักษาประตูค่าตัวสถิติโลก และมัตเตโอ โควาซิช มิดฟิลด์เชิงสูงที่ยืมตัวมาจาก เรอัล มาดริด  
    โดย เชลซี ออกสตาร์ฤดูกาลภายใต้กุนซือใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม หลังเก็บชัยได้ถึง 5 เกมรวด และครองไม่แพ้ใครถึง 12 เกม จนกระทั่งมาพ่ายต่อ สเปอร์ส คู่ปรับร่วมเมือง 3-1 ซึ่งหลังจากนั้นผลงานของทีมก็ไม่คงเส้นคงวาอีกต่อไป
ปัญหาหลักของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ที่เห็นได้ชัด นั่นก็คือ กองกลางที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม โดย ซาร์รี ได้ปรับให้ เอนโกโล กองเต ห้องเครื่องทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งถนัดในการเล่นเกมรับ ดังสูงมาเล่นเกมรุก และให้ จอร์จินโญ เข้าไปแทนที่ในตำแหน่งตัวรับแทน ถึงกระนั้นกลับกลายเป็นว่ามิดฟิลด์ไม่สามารถช่วยเกมรุกได้เท่าที่ควร รวมถึงสกรีนแนวรุกฝั่งตรงข้ามไม่ได้จนทำให้ทีมต้องเสียประตูแบบง่ายๆหลายต่อหลายนัด และไม่สามารถเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้
    นอกจากนั้นสถิติการพบกับทีมท็อป 6 ของ เชลซี ในฤดูกาลนี้ก็ถือว่าไม่น่าพอใจ เพราะพวกเขาสามารถเอาชนะได้เพียง 3 เกมจาก 8 นัดเท่านั้น โดยเฉพาะการพ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี ถึง 0-6 จนส่งผลให้หมดลุ้นแชมป์ไปตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้
     ทำให้แมตช์นี้ถือเป็นเกมสำคัญของพวกเขา เพราะหากเก็บ 3 คะแนนได้ โอกาสที่จะได้โควตาไปเล่นในฟุตบอลยูซีแอลก็มีสูง เพราะอีก 2 เกมที่เหลือของฤดูกาลคือการดวลกับ วัตฟอร์ด (เหย้า) และ เลสเตอร์ ซิตี (เยือน) ซึ่งถ้ามองตามเนื้อผ้าแล้ว เชลซี ก็ยังดูเหนือกว่า

"แมนฯยูไนเต็ด-เชลซี"ศึกชิงตั๋วยูซีแอลแดนผู้ดี

สถิติการต่างๆของทั้ง 2 ทีม
     สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเชลซี ถือว่าเป็น 2 ทีมที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน โดยพบกันครั้งแรกเมื่อปี 1905 ตั้งแต่สมัยยังอยู่ในลีกดิวิชัน 2 ทั้งคู่ ซึ่งผลการแข่งขันจบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0
    หลังจากนั้นพวกเขาพบกันในทุกรายการอีก 181 นัดในทุกรายการ ซึ่งผลปรากฏว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายทำได้ดีกว่า ด้วยการชนะไป 78 นัด เสมอ 50 นัด และแพ้เพียง 54 นัด
    ขณะที่นับเฉพาะสถิติการพบกันในลีก ทั้ง 2 ทีมพบกัน 150 เกม โดยเป็น “ปีศาจแดง” ที่เอาชนะได้เยอะกว่าด้วยจำนวน 60 นัด เสมอ 46 นัด และแพ้ 44 นัด ขณะที่สถิติในการพบกัน ณ สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ 30 นัด เสมอ 26 นัด และแพ้ 19 นัดจากการพบกัน 75 นัด
    ด้านชัยชนะที่ท่วมท้นที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อ เชลซี เกิดขึ้นในปี 1954-1955 ด้วยสกอร์ 6-5 ส่วนทางฝั่งของ เชลซี เคยถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 6-2 เช่นกันในปี 1930-1931

"แมนฯยูไนเต็ด-เชลซี"ศึกชิงตั๋วยูซีแอลแดนผู้ดี

"แมนฯยูไนเต็ด-เชลซี"ศึกชิงตั๋วยูซีแอลแดนผู้ดี

    ต้องมาติดตามว่าสุดท้ายแล้วจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ เชลซี ที่คว้า 3 คะแนนสุดสำคัญในแมตท์นี้ไปครอง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลโดยตรงต่อเป้าหมายของทั้ง 2 สโมสรในซีซั่นนี้  

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ