ได้กลิ่นรัก ‘ทักษิณ’ กราบแผ่นดิน ‘ประยุทธ์’ ไฟเขียวเพื่อไทย

17 ปีแห่งความหลัง ทักษิณ บินกลับไทย ประยุทธ์ ไฟเขียว สว.โหวตเห็นชอบแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย ปฐมบทปรองดองสมานฉันท์

ทักษิณ-ประยุทธ์ คู่ปรปักษ์ที่ห้ำหั่นกันมายาวนาน ถึงวันนี้ ใครจะเชื่อเมื่อรวมไทยสร้างชาติ เข้าโครงการสลายสีเสื้อกับเพื่อไทย 

วันที่ 22 ส.ค. 2566 เป็นวันที่คนไทยต้องเฝ้าติดตาม 2 เหตุการณ์สำคัญคือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศไทย โดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวจากสิงคโปร์มาลงจอดที่สนามบินดอนเมือง
 

ส่วนที่อาคารรัฐสภา จะมีการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาเห็นชอบ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย

หลังพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสามารถรวบรวมเสียงได้แล้ว 314 เสียง ยังขาดอยู่ 61 เสียง จึงได้เสียงครบกึ่งหนึ่ง 375 เสียง เพียงพอที่ทำให้เศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 

มีรายงานข่าวว่า สว.ในสาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีอยู่ประ มาณ 120 เสียง จะโหวตเห็นชอบเศรษฐา แคนดิเดตนายกฯเพื่อไทย

นับแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือทางการเมือง และลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ มีคนแอบสังเกตเห็นว่า ลุงตู่อารมณ์ดีทุกวัน

สัปดาห์ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ นักข่าวพยายามถามนำว่า กีฬาสีจบแล้วใช่หรือไม่ ลุงตู่บอก ไม่สนใจเลย สนใจแต่กีฬาการเมืองนั่นแหละ กีฬาสีมันจบไปนานแล้ว

เช่นเดียวกันกับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งสัญญาณว่า จะกลับบ้านมาตั้งแต่ปีที่แล้ว พร้อมกับการประกาศอโหสิให้กับคู่ปรปักษ์ในอดีตทุกคน

“ถ้ากลับไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้กลับไปอยู่กับครอบครัวแล้ว มันก็จบทุกอย่าง” ทักษิณให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสื่อชื่อ Thaksin Shinawatra : Theory and Thought

 

 

ครั้งหนึ่ง ทักษิณเคยเล่าเรื่องรัฐประหาร 2549 อันเป็นจุดเริ่มต้นของการลี้ภัยในต่างแดนของเขา และตอนหนึ่งพูดว่า “ผมเป็นนักเลงพอ จบเป็นจบ”

 

สงครามล้มอำมาตย์
19 ก.ย. 2549 เปลี่ยนชีวิต ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ไปตลอดกาล ด้วยการทำรัฐประหารของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)

 

ครั้งนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ผู้กุมกำลังหลักในวันยึดอำนาจ 19 กันยา ร่วมกับน้องรัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เพิ่งขยับมาจาก ผบ.พล.ร.2 รอ.(ปราจีนบุรี) เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1

ปี 2550 พล.อ.อนุพงษ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และน้องเล็ก-พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 

หลังรัฐประหาร 49 มีการทำคลอดรัฐธรรมนูญ 2550 ตามมาด้วยการเลือกตั้งทั่วไป พรรคพลังประชาชน ได้รับชัยชนะเป็นพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล ที่มี สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ ยังเป็น ผบ.ทบ. คุมสถานการณ์การเมืองนอกสภาฯ ที่ยังมีการประท้วงทั้งเหลืองและแดง 

ปลายปี 2551 มีอุบัติเหตุทางการเมือง พรรคพลังประชาชน ถูกยุบ จึงเกิดรัฐบาลพลิกขั้ว ที่มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยการสนับสนุนของ เนวิน ชิดชอบ พร้อม สส.พรรคพลังประชาชน

คำว่า พี่น้อง 3 ป. ได้ถูกกล่าวขวัญถึงมากขึ้น เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ส่วนน้องอีกสองคนคือ พล.อ.อนุพงษ์ ผบ.ทบ. และ พล.อ.ประยุทธ์ รอง ผบ.ทบ.

ช่วงปี 2552-2553 ทักษิณแค้นที่พรรคพลังประชาชนถูกยุบ จึงตอบโต้ชนชั้นนำ ด้วยสงครามมวลชนครั้งใหญ่ เมื่อ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน เปิดยุทธการโค่นอำมาตย์ จัดการชุมนุมใหญ่กลางเมืองหลวง

การลุกขึ้นสู้ของคนเสื้อแดงอย่างยาวนาน จบลงด้วยการสลายการชุมนุมของทหาร-ตำรวจ ที่ราชประสงค์ 17 พ.ค.2553 

 

ปิดดีลอำมาตย์
ปลายปี 2553 พล.อ.ประยุทธ์ ผงาดขึ้นเป็น ผบ.ทบ. คนที่ 37 โดยได้รับตำแหน่งสืบต่อจาก พล.อ.อนุพงษ์ แต่การเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทย ได้รับชัยชนะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี 

ชัยชนะในสมรภูมิเลือกตั้งอีกครั้ง ทักษิณ วางแผนกลับไทย ด้วยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ก็เข้าทางขั้วอำนาจ 3 ป. เมื่อมีการชุมนุมใหญ่ต้านนิรโทษกรรมสุดซอย ในนาม กปปส.ช่วงปลายปี 2556

22 พ.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้เข้าควบคุมอำนาจในนาม คสช. จัดตั้งรัฐบาลใหม่ และสืบทอดอำนาจผ่านกระบวนการเลือกตั้งปี 2562

ตลอด 9 ปี พี่น้อง 3 ป. เป็นศูนย์กลางอำนาจ ท่ามกลางการชุมนุมต่อต้านและขับไล่ครั้งแล้วครั้งเล่า กลายเป็นโรคเบื่อลุง และจบลงด้วยชัยชนะของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย 

ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ทักษิณ และขั้วอนุรักษนิยม ผลัดกันแพ้ชนะ เหมือนสงครามไม่รู้จบ ก่อนวันเลือกตั้ง 9 พ.ค. 2566 ทักษิณย้ำว่า จะกลับไทยแน่นอน โดยให้เหตุผลว่า “...ด้วยความผูกพันกับครอบครัว แผ่นดินเกิด และเจ้านายของเรา”