พระเครื่อง

"หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนให้หยุดความคิด แต่ให้กลับมารู้สึกตัว"จากใจ เขมานันทะ (โกวิท เอนกชัย )

"หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนให้หยุดความคิด แต่ให้กลับมารู้สึกตัว"จากใจ เขมานันทะ (โกวิท เอนกชัย )

05 ก.ย. 2554

"หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนให้หยุดความคิด แต่ให้กลับมารู้สึกตัว"จากใจ เขมานันทะ (โกวิท เอนกชัย ) : พึ่งตนพึ่งธรรม โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์

           "การยกมือสร้างจังหวะเป็นการบำบัด ทุกครั้งที่ยกมือ มันสั่นสะเทือนไปทุกๆ จุดทั้งตัวขึ้นมา การนั่งนิ่งนานๆ บางครั้งเจ็บไข้ได้ป่วยได้ แม้แต่นอนกลางคืน 3 ชั่วโมงก็ต้องพลิกตัว ไม่งั้นจะเกิดอาการผิดปกติ แผลที่เกิดจากการนั่งทับ ถ้าได้ขยับตัว มันก็ดีขึ้น การรู้สึกทั้งตัวคือการบำบัดตามธรรมชาติ บางครั้งผมเรียนรู้จากแมว มันนอนทั้งวัน พอมันลุกขึ้นมาก็ดัดหลังตัวเอง แล้วนอนต่อ ผมได้ประโยชน์จากแมวมาก สัตว์ทุกชนิดรู้จักการบำบัดตามธรรมชาติ"

            เขมานันทะ หรือ โกวิท เอนกชัย กวี ศิลปิน นักเขียนผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติประจำปี พ.ศ.๒๕๕๐ ลูกศิษย์ท่านพุทธทาสและหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ในวัย ๗๔ ปี กับสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงนักจากโรคพาร์กินสัน แต่ด้วยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน และใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ทำให้ท่านสามารถอยู่กับโรคนี้ได้อย่างไม่ทุกข์

            ในวันชาตกาล ๑๐๐ ปีหลวงพ่อเทียน ๕ กันยายน ๒๕๕๔ อาจารย์โกวิท เล่าเรื่องแต่หนหลังที่ได้พบกับท่านพุทธทาส และหลวงพ่อเทียน ทั้งสองท่านทำให้ชีวิตของเขมานันทะเกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในครั้งยิ่งใหญ่ 

            ท่านเล่าว่าในวัยหนุ่มก็เหมือนคนทั่วไป มีความทะเยอทะยาน อิจฉาคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เวลาเกลียดก็ไม่รู้ตัว

            "วัยหนุ่มเป็นวัยที่ไม่รู้ตัวอย่างแรงกล้า ความรู้ตัวถูกบดบังโดยสภาพแวดล้อมทางสังคม ยังไม่ได้เจอสัตบุรุษ หรือสันติบุคคล ผมนับว่ามีโชคอันหนึ่งที่ได้พบกับท่านพุทธทาส ก็เหมือนได้พบกับพลังความสงบที่ไม่เคยพบมาก่อน จึงบวชเรียนกับท่านเกือบสิบพรรษา และมาศึกษาการเจริญสติกับหลวงพ่อเทียนอีกประมาณ ๖ พรรษา ผมบวชได้ทั้งหมด ๑๖ พรรษาจึงลาสิกขา" 

            ท่านเล่าถึงช่วงที่พบกับหลวงพ่อเทียนครั้งแรกว่า ตอนนั้นกำลังจะไปอินเดียมาพักที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ มีพระหลวงตารูปหนึ่งเดินทางมาจากจังหวัดเลย ชื่อ หลวงพ่อเทียน เห็นครั้งแรกก็รู้สึกเฉยๆ ท่านทองสุก เป็นพระจากสวนโมกข์ บอกว่า หลวงตารูปนี้สงบเสงี่ยมดี

            "ตอนนั้นผมทำหน้าที่สอนพระบวชใหม่ หลวงพ่อเทียนสอนกรรมฐาน พระถามอะไรผมตอบได้หมด วันหนึ่งผมเทศน์จบลงมา เจอหลวงพ่อเทียนดักทางอยู่ เพราะท่านฟังด้วย ท่านถามว่า ที่อาจารย์พูด ดีจริง อยากถามข้อหนึ่ง ความรู้เหล่านี้มาจากไหน ทำให้ผมสะดุดตัวเอง ตอบไม่ได้ครับ

            "หลวงพ่อเทียนคงเห็นความลังเลของผม คนรู้ธรรมะจริงไม่ลังเล คืนนั้นประมาณสี่ทุ่ม ท่านเดินไปเคาะประตูกุฏิที่ผมพักอยู่ ถามหาด้ายกับมีดโกน ซึ่งเป็นอัฐบริขาร เครื่องใช้พระ ผมเข้าใจว่าท่านต้องการด้ายไปชุนจีวร แต่ ท่านขอให้ผมดึงเส้นด้ายให้ตึง แล้วท่านเอามีดโกนตัดขาด มองหน้าผม พูดว่า อาจารย์ ถ้าไม่รู้ถึงระดับนี้ ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ผมงงเป็นไก่ตาแตก ทำให้ผมเข้าใจว่า การรู้ธรรมะคืออุปสรรคใหญ่

            "จากนั้นผมถูกช่วยเหลือจากหลวงพ่อโดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง มาตลอด ที่รู้ตัว คือ รู้ว่าหลวงพ่อกำลังช่วย ไม่ให้ตกอยู่ในอันตราย หมายความว่า ที่จะเป็นอันตรายต่อมรรคผล ที่ไม่อันตรายคือ รู้วิธีป้องกันตัวเองแล้วเดินต่อไป คือผมเป็นคนช่างจินตนาการ เพราะฝึกตัวเองมาทางนี้ อย่างเห็นควายเดินมาสี่ตัว ใจมันนึกถึงอริยสัจสี่ คือจิตมันสร้างภาพตลอดเวลา ๑๘ ปี กับการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย เต็มไปด้วยวิชาเกี่ยวกับการสร้างภาพทั้งนั้น หลวงพ่อช่วยดับความฟุ้งซ่าน โดยการถามผมว่า นั่นอะไร นี่อะไร ให้ผมตอบเดี๋ยวนั้น โดยให้หลุดออกมาจากความฟุ้งซ่านนั้น บางทีก็ใช้วิธีดีดมือบ้าง ใช้สายตาของท่านบ้าง เป็นสื่อสัมพันธ์ที่นำผมไปสู่การเปลี่ยนแปลง "

            นั่นคือการเรียกสติให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ?

            "หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนให้หยุดความคิด แต่ให้กลับมารู้สึกตัว มันจะคิดหรือไม่คิดเป็นเรื่องของมัน ท่านช่วยสกัดกั้นกระแสความคิดของผม เป็นเวลา ๕-๖ ปีที่ผมกระทำความเข้าใจในวิธีของหลวงพ่อเทียน ครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดความล้มเหลว เพราะคิดเอาเองว่า ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วละเลยคำแนะนำเฉพาะตัว ซึ่งเป็นการสอนที่สำคัญมากที่ให้ตรงกับจริตนิสัยของผู้ภาวนา 

            "วันหนึ่งผมเดินจงกรมอยู่ในห้องสมุดที่นาดง จ.นครนายก เดินกลับไปกลับมา ไม่ได้กำหนดอะไร เพียงแค่ลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินจงกรม ทันใดนั้น ผมไม่ตั้งใจจะพูดให้พิลึกพิลั่น อย่างไม่คาดคิด ผมสะอึกขึ้นมาสามครั้ง ความรู้สึกบอกว่า จะตาย ไม่เคยเป็นมาก่อน ยังให้ค่าไม่ได้ว่า มันคืออะไรกันแน่ ผมล้มทั้งยืนลงบนเก้าอี้ผ้าใบ รู้สึกทั้งร่างกายไม่มีกระดูก มันน่วมไปหมด จนเวลาอาหารเพลพอดี เด็กที่อยู่ด้วยกันเขาทำมะละกอเชื่อมให้ฉัน หวานเจี๊ยบเลย พอฉันเสร็จความรู้สึกนั้นก็หายขาด ไม่สืบต่อ นี่คือคำอธิบายย้อนหลัง

            "ตอนเกิดจริงๆ ไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่าเวลาฉันอาหารเสร็จเอาบาตรไปล้าง ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวรอบตัวสัมผัสได้หมดเลย อะไรที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัวจับได้หมด ผมเข้าใจว่าคงมีการบรรลุกันบ้างแหละ แต่นี่ไม่ใช่การันตี แต่มันเป็นอะไรที่ลวงล่อมากกว่า เพราะมันเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาทั้งห้อง สมุดทุกเล่มเหลืองอร่ามหมด แต่ผมก็หลงกลมัน เพราะมันหลอกล่อ พอหยุดชะงักเท่านั้นเองไม่เกิดวิปัสสนาอะไร ผมไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อก็เอ็ดตะโรผมใหญ่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ผมรู้ไม่เท่าทันความสงบ ต่อมาผมก็เข้าใจว่า ความสงบไม่ใช่เป้าหมาย ความสงบเป็นกลลวงล่อ"

             เนื้อหาสำคัญของการภาวนา อาจารย์โกวิทอธิบายว่า โดยทั่วไปเราคิดว่า เป็นโอกาสสูงส่ง ที่คนๆ หนึ่งหยั่งรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ศักดิ์สิทธิ์ ขลัง

            "ตามที่ผมเข้าใจนั้น การรู้ธรรมะ รู้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะมากำหนดว่าต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เป็นผู้ที่แต่งงานแล้วหรือไม่แต่งงาน เช้า หรือเย็น หลับอยู่หรือตื่น กินข้าว การพบธรรมะเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเราเจริญสติ"

            เพราะฉะนั้นท่านบอกอย่างจริงจังว่า อย่าหมิ่นโอกาสแรก ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา ถ้าละเลยโอกาสนี้จะพลาดโอกาสสำคัญ โอกาสที่อินทรีย์ต่างๆ ยังบริบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นโอกาสดี สำหรับการภาวนา

            "แต่เรามักประมาทในโอกาสทั้งหลาย ไม่นึกว่า ขณะที่เรานั่งรถเมล์ โอกาสที่จะดูใจ 100% เลยแต่เราไม่ได้ทำ เราพลาดโอกาสไปเรื่อย จนความตายมาเยือนก็หมดโอกาสในชาตินี้ และชาติหน้าจะมีจริงหรือไม่มีจริงไม่มีใครรับประกันได้ โอกาสทุกขณะของชีวิตมีบทบาทสำคัญ บทบาทหนึ่งก็คือให้รู้สึกตัวขึ้นมา" 
 
            อาจารย์โกวิทบอกว่า สติ เป็นการงานที่แปลกมาก เมื่อเราฝึกให้ทีสติไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง สติจะตั้งขึ้นเอง เหมือนกับหลับแล้วก็มีสติได้จริงอย่างที่ในพระไตรปิฎกอธิบาย 

            "อยากจะเล่าอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือถ้อยคำที่จะพูดออกมา เพราะธรรมชาติมันไม่มีถ้อยคำจะอธิบาย ดูต้นไม้ ดูฟ้า ดูน้ำ เป็นสมมติบัญญัติทั้งสิ้น มนุษย์ได้ขึงตาข่ายของชื่อ แล้วในที่สุดสมมติบัญญัติเหล่านี้ที่มนุษย์ตั้งขึ้นก็บดบังธรรมชาติที่แท้จริงที่อยู่นอกเหนือขุมข่ายของมัน ผมเคยไปนมัสการหลวงปู่ชา ท่านถามผมถึงภาคภาวนา ท่านประมวลสรุปว่า เมื่อรู้มากอย่างนี้แล้ว เราจะปฏิบัติอย่างไร

            "หลวงพ่อเทียนรู้นิดเดียว ปฏิบัติมาก จับความรู้สึกตัวนิดเดียว แต่นำไปสู่เรื่องใหญ่ นำไปสู่ สิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง ส่วนใหญ่เรามักจะใช้ความคิดคาดเดา เสียเวลาเปล่า หลวงพ่อเทียนบอกผมเสมอ ให้รู้ตัว พอถามรายละเอียดท่านก็บอกว่า เท่านี้ ให้แกว่งมือ แล้วรู้สึกตัวว่ากำลังแกว่งมืออยู่ เท่านี้ สติจะเกิดขึ้น "

            สติ นำไปสู่มรรคผลนิพพานอย่างไร เป็นเรื่องปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน จากจุดนี้ที่จะนำเราไปสู่ความพ้นทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเชิงหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าเราเริ่ม "รู้สึกตัว" หรือยัง และเมื่อฝึกความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง อาจารย์โกวิทบอกว่า เราจะเห็นเองว่า ทุกอย่างเป็นเพียงกระแสธรรมตามธรรมชาติเท่านั้น หามีเรา มีเขาไม่