
'หมอดูเซียนเต่า'กับชีวิตใต้ร่มกาสาวพัสตร์
'หมอดูเซียนเต่า'กับ...ชีวิตใต้ร่มกาสาวพัสตร์ : เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู ภาพ เศกสันติ กัลยาณวิสุทธิ์ ศูนย์ข่าวอีสาน 0
“หมอดูเซียนเต่า” เป็นฉายานามของ "อ.ฉัตรประเสริฐ รวยโภคทรัพย์" หมอดูอีกท่านหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าดูดวงแม่นเหมือนจับวาง ซึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ "มีกระดองเต่าเป็นอุปกรณ์ และแต่งตัวด้วยชุดขาวแบบจีน"
แต่ในวันนี้ภาพที่เคยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหมอดูเซียนเต่าเปลี่ยนไปอีครั้ง ด้วยชุดเหลืองทั้งชุด พร้อมกับย่าม ๑ ใบ พร้อมกับฉายาใหม่ว่า "โชติญาโณ" หมายความว่า "ผู้มีญาณ อันรุ่งเรือง เห็นได้ถึงสามโลก"
สำหรับที่มาของฉายานั้น “หมอดูเซียนเต่า” ได้อุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ อุโบสถ วัดป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี โดยมี "พระครูเมตตากิตติคุณ" หรือหลวงพ่อสมหมาย อตฺตมโน เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งก่อนบวชได้รับการปลงผมโดย หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร และเมื่อบวชแล้วพระอาจารย์ก็จะถือภาวนาในสถานที่วิเวก(ในป่า)เป็นเวลา ๓ เดือน เพื่อเจริญในฌาน จากนั้นจึงจะมาจำพรรษาที่วัดเศรษฐีบุญลาโภวนาราม (วัดป่าหนองหญ้าไซ) อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด และจะเดินทางมาที่กรุงเทพฯ บ้างตามวาระโอกาส
“อายุประมาณ ๔๘ ปี อาจารย์จะตาย คนที่รู้ปีตายอาจจะเลือกทำประกันชีวิต เพื่อคนข้างหลัง โดยลืมเรื่องสำคัญไปอย่างสนิท ตอนนี้ผมอายุ ๓๕ ปี ซึ่งหมายความว่า นับจากปีนี้เป็นต้นไป ผมมีเวลาอีกประมาณ ๑๓ ปี สำหรับสร้างบุญบารมี ผมว่าบุญบารมีสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ซึ่งอาจจะช่วยยืดเวลาตายให้ยาวขึ้นได้ แต่ที่สุดแล้วไม่มีใครหนีความตายไปได้ เมื่อรู้ว่าต้องตาย ก็ต้องรีบทำบุญเพื่อเป็นเสบียงสะสมไปใช้ในชาติภพหน้า” นี้เป็นเหตุผลหนึ่งของการตัดสินใจบวชจากคำบอกเล่าของ พระอาจารย์เซียนเต่า
พร้อมกันนี้พระอาจารย์เซียนเต่า ยังบอกด้วยว่า คิดบวชมานานแล้ว แต่ไม่ได้ใช้เวลาคิดเป็นนานสองนาน หมายความว่า คิดว่าในชีวิตนี้จะต้องบวช เพื่อถือภาวนา แต่ไม่ได้ใช้เวลาตัดสินใจหลายปี คือไม่ใช่เอะอะก็จะบวช เพราะก่อนหน้านี้อาจารย์ก็เคยบวชชีพราหมณ์ เป็นปี และก็ถือภาวนา ก่อนออกจากบวชชีพราหมณ์ก็ได้มีโอกาสมาออกรายการ VIP ของคุณนิด อรพรรณ ซึ่งอาจารย์ได้ทำนายเรื่องไฟไหม้ใหญ่กลางกรุงเทพฯ ซึ่งต่อมาก็ได้เกิดเหตุที่ซานติก้าผับ ซึ่งการเห็นเหตุการณ์ภัยพิบัตินี้ มาจากการถือภาวนานี่แหละ ที่ทำให้จิตเจริญขึ้นเป็นลำดับ
ทั้งนี้เบื้องต้นตั้งใจว่าว่าจะบวชถือภาวนาสัก ๓-๔ ปี ซึ่งที่ผ่านมามักจะมีคนถามว่า "บวชตลอดชีวิตหรือไม่" อาจารย์ไม่ได้ตั้งปณิธานไว้อย่างนั้น แต่อยากเดินให้สุดทางธรรมและแต่บุญว่าจะบวชได้นานแค่ไหน หากบวชได้นานกว่านั้นก็คือบุญของเรา ที่เราได้ถือภาวนาเป็นระยะเวลามากขึ้นไปอีก หากถือภาวนาไปจนสิ้นอายุ ก็ถือว่านั่น คือ บุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาจารย์ที่ได้เข้าใกล้มรรคผลมากขึ้น
ส่วนเรื่องแก้เคล็ดด้วยการบวชได้ผลจริงไหม ที่ได้ผลก็มี ไม่ได้ผลก็มี อาจารย์ว่าขึ้นอยู่กับบุญและกรรมของผู้บวชเป็นหลัก อย่างชีวิตต้องตกช่วงวิบากกรรม ที่เป็นกรรมหนัก เช่น เศษกรรมจากที่ฆ่าคน ฆ่าพระสงฆ์ ฆ่าบุพการี ในภพชาติก่อนๆ อย่างนี้แก้ไม่ได้ อีกอย่างก็คือ ผู้บวชจะต้องมีจิตตั้งมั่น เห็นการบวชเป็นบุญกุศลที่แท้จริง ง่ายๆ ก็คือบวชแล้วเป็นสุข บวชด้วยความเต็มใจ การบวชก็จะเกิดกุศลอย่างยิ่ง ก็อาจจะช่วยแก้เคล็ดแก้ไขได้ แต่ถ้าบวชเพราะไม่เต็มใจ ถูกบังคับก็ไม่ได้กุศล อย่างบวชแก้บน จะเป็นอีกอย่าง อันนั้นคือสัญญาว่าถ้าสำเร็จจะบวชให้ เมื่อสำเร็จแล้วจึงบวช
อาจาย์บวชในสายธรรมยุตและถือภาวนา วิปัสสนา การมานั่งเอาวัน เดือน ปีเกิด เพื่อดูดวงให้กับญาติโยม คงเป็นเรื่องไม่เหมาะ แต่จะสามารถช่วยพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือเป็นเรื่องๆ ด้วยฌานที่เกิดจากการภาวนาได้ เพราะฌานที่เกิดจากการถือภาวนาจะช่วยให้วิชาเซียนที่ได้เรียนมาและจิตของอาจารย์ ที่สวรรค์ได้ประทานให้ เจริญถึงขั้นสูงสุด นอกจากนี้ก็จะมีคาถานกยูงทองที่เป็นเมตตา เจริญด้วยลาภสักการะ ซึ่งครูบาอาจารย์สายวัดป่าธรรมยุต ได้ใช้สืบต่อกันมา ท่านได้มอบให้อาจารย์ได้ศึกษา ซึ่งอาจารย์ก็ได้ศึกษาจนครบถ้วน และเมื่อได้ถือภาวนาก็จะทำให้คาถามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถที่จะภาวนาคาถานี้ให้บังเกิดโชคดี โชคลาภ เป็นเมตตา แก่ผู้ไปทำบุญหรือไปเยี่ยมไปเยือนได้
ทั้งนี้ พระอาจารย์เซียนเต่า พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า "คนจะตายแก้ไขไม่ได้หรอก คนเรากลัวตายกันทุกคน อะไรที่ทำให้ไม่ตายหรือตายช้าได้ก็จะรีบทำ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแนะนำให้ทำบุญ เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ ซึ่งการแนะนำให้ทำบุญนี้ เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แต่คนเราหนีความตายไม่ได้หรอก มันเป็นสัจธรรม แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในกรณีของอาจารย์ อาจารย์รู้ว่าจะตายเมื่ออายุ ๔๘ ปี ก็จริง แต่ก็ไม่รู้วันที่จะตาย ถึงแม้ที่ผ่านมาอาจารย์จะสร้างบุญ กุศลไว้มากมาย ทั้งทำโรงทาน สร้างวัด สร้างศาสนสถาน บวชเพื่อถือภาวนาก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีชีวิตไปถึง ๔๙ ปีได้หรือไม่"
ย้อนรอยคำทำนาย
"ปีขาลเป็นปีขาลาตุไม้ ปีนี้ปีเถาะก็เป็นปีเถาะธาตุไม้เรื่องของดินถล่ม ตึกถล่ม แผ่นดินไหวยังคงต้องเผชิญกันอยู่ ไม่เพียงแต่บ้านเรา แต่จะเป็นไปทั่วโลก เหมือนกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากธรรมชาติของกระต่าย ชอบขุดรูอยู่ ทำเป็นโพรง ฉะนั้นปีเถาะปีนี้จึงเกิดแผ่นไหวดั่งเช่นปีที่ผ่านมากระจายไปทั่วโลก บ้านเราก็จะมีแผ่นดินไหว เชียงใหม่จะเป็นจังหวัดที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว แถมยังไปโผล่ไหวที่ภาคใต้อีก ส่วนน้ำก็ยังมีท่วมอยู่ ในเรื่องของเศรษฐกิจ จะเป็นปีที่ข้าวยาก หมากแพง"
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นคำทำนายของ อ.เซียเต่า ที่ทำนายไว้เมื่องช่วงปลาย พ.ศ.๒๕๕๓ ทั้งนี้ อ.เซียนเต่า ได้ทำนายไว้อีกว่า นับแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ คนไทยยังไม่พ้นจากภัยพิบัติ จะเกิดภัยพิบัติที่เกิดจากธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เกิดความปั่นป่วน คือ ไฟไหม้ตึกรามบ้านช่อง อาคาร ที่พักอาศัยและสถานที่ที่มีคนหมู่มากมาชุมนุมกัน ดินถล่ม ดินสไลด์ ยังคงสร้างความสะเทือนใจให้เกิดขึ้นอยู่ รวมถึงภัยจากมนุษย์ คือ โจรผู้ร้ายจะชุกชุมมาก ที่พร้อมกระทำการอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย และจะเกิดโรคทางเศรษฐกิจไปทั่วประเทศ คือ โรคยากจน ผู้คนสิ้นเนื้อประดาตัว ตกงาน หมดสิ้นหนทางทำมาหากิน
"คนไทยต้องมีสติ นำคำสอนของพระพุทธองค์มาเป็นเครื่องบรรเทาจิตใจ สิ่งที่เกิดไม่ใช่เราคนเดียว แต่เป็นกันทั้งประเทศ ทำใจให้เข้าใจว่ามันคือภัยพิบัติ ของที่สูญเสียไป ไม่นานก็จะหาใหม่ได้ แต่สติ ปัญญาและความสามารถของเราต่างหากที่ต้องรักษาไว้ ต้องทำให้มีความเข้มแข็งเหมือนเดิม จะทำให้เราผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้" พระอาจารย์เซียนเต่า กล่าว