ขอให้ลืมเมื่อทำดีกับผู้อื่น
ขอให้ลืมเมื่อทำดีกับผู้อื่น แต่ให้จดจำเมื่อผู้อื่นทำดีกับเรา : ปุจฉา -วิสัชนากับพระไพศาล วิสาโล
ปุจฉา : ท่านคิดเห็นยังไงกับคำพูดที่ว่า 'ทำคุณคนไม่ขึ้น' คะ นิมนต์ท่านช่วยบรรยายเป็นธรรมทาน
วิสัชนา : คนที่พูดว่า “ทำคุณคนไม่ขึ้น” มักเป็นเพราะเขารู้สึกว่า ไม่ว่าจะทำดีกับใครหรือช่วยเหลือใครก็ตาม คนเหล่านั้นไม่เคยสำนึกในบุญคุณของเขาเลย ตรงนี้ก็ต้องใคร่ครวญดูด้วยว่า คนเหล่านั้นไม่สำนึกในบุญคุณของเขาเลยจริงหรือเปล่า ความจริงเขาอาจจะสำนึกในบุญคุณ แต่ไม่มีโอกาสตอบแทน หรือถึงจะตอบแทน แต่ก็ไม่มากเท่าที่คนผู้นั้นต้องการ ก็เลยรู้สึกว่าความดีที่ตนทำไปนั้นสูญเปล่า
ปัญหาอย่างนี้มักจะเกิดกับคนที่เมื่อช่วยเหลือใครไปแล้ว คาดหวังให้เขาตอบแทนในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ความคาดหวังดังกล่าวมักนำไปสู่ความทุกข์ของทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ ในด้านหนึ่งผู้ที่ช่วยเหลือมักเรียกร้องจากฝ่ายที่ได้รับความช่วยเหลือ (หรืออาจถึงกับ “ทวง/ลำเลิกบุญคุณ”) ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกถูกคาดคั้นรบเร้า เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา (บางคนถึงกับเกลียดชังไปเลย) ในกรณีที่ฝ่ายนั้นทำการตอบแทนแล้ว แต่หากไม่มากเท่ากับที่ผู้ช่วยเหลือคาดหวังเอาไว้ ฝ่ายหลังก็ย่อมเกิดความไม่พอใจ
ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหานี้ เวลาจะช่วยเหลือใคร ก็อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะสำนึกในบุญคุณของเราหรือตอบแทนเรากลับคืน ถ้ามีความคาดหวังอย่างนี้ จะไม่มีความสุขเลย อีกทั้งยังบั่นทอนความสัมพันธ์ด้วย ถ้าจะช่วยใครก็ควรช่วยเพราะความปรารถนาดีล้วน ๆ หรือช่วยเพราะศรัทธาในคุณงามความดี ไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ หาไม่ก็จะลงเอยเหมือนคนที่ทำดีแล้วเป็นทุกข์เพราะคนอื่นไม่เห็นความดีของตน จึงเอาแต่ตัดพ้อว่า “ทำดีแล้วไม่ได้ดี” จนถึงกับเสื่อมศรัทธาในความดีก็มี
ทั้งหมดที่พูดมานี้ สรุปสั้นๆ ก็คือ "ขอให้ลืมเมื่อทำดีกับผู้อื่น แต่ขอให้จดจำเมื่อผู้อื่นทำดีกับเรา"
เสียใจที่หงุดหงิดกับพ่อแม่
ปุจฉา : กราบนมัสการพระคุณเจ้า ลูกมีปัญหาอยากถามพระคุณเจ้า คือลูกมีความตั้งใจที่กลับมาอยู่ใกล้พ่อแม่ก็เพราะอยากดูแลท่าน อยากพาแม่ไปวัด แม่ก็ดีไปวัดกับลูกตลอด แต่ลูกไม่เข้าใจทำไมวันมาฆบูชาที่ผ่านมาลูกก็พาแม่ไปวัด หลวงพ่อประกาศชวนญาติโยมอยู่ปฏิบัติธรรม ลูกจะอยู่ แต่พอคิดว่าจะอยู่ลูกมีอาการเหมือนคนเป็นไข้จึงกลับบ้าน พอกับมาถึงบ้านก็เหมือนเป็นไข้จริงๆ พ่อเดินมาคุยด้วยก็รู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้แสดงออก พยายามเตือนสติตัวเองตลอด แม่มาคุยด้วยก็ไม่อยากคุย เป็นอะไรที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้ ลูกคิดว่ามารกำลังครอบงำ จริงๆ แล้วเป็นเพราะอะไรคะ
วิสัชนา : คงเป็นเพราะคุณไม่ค่อยสบายใจก็เลยหงุดหงิด ไม่อยากพูดคุยกับใคร ประกอบกับคุณคงไม่มีนิสัยชอบสุงสิงพูดคุยกับใครมากนัก ก็เลยมีปฏิกิริยาแบบนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่เข้ามาสนทนาด้วย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จึงไม่ควรรู้สึกแย่กับตัวเองมากนัก อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่คุณอยากปรับปรุงแก้ไขตนเองโดยเฉพาะเวลามีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่
สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้มากเวลาคุณหงุดหงิดหรืออารมณ์ไม่ค่อยดี นั่นก็คือ รู้ตัวเวลาที่มีอาการแบบนั้น แค่รู้ตัวว่ากำลังหงุดหงิด ก็ช่วยให้ความหงุดหงิดสะดุดลง เวลารู้ตัวว่ากำลังโกรธ ความโกรธก็ชะงัก ถ้ารู้ชัดมากๆ ก็ทำให้อารมณ์เหล่านั้นหลุดไปจากใจได้ แต่ใหม่ๆ ยังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น การรู้ตัวนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีสติที่ไว ไม่ลืมตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์
ทีนี้เมื่อรู้ตัวแล้วว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี หากอารมณ์ยังคาหรืออ้อยอิ่งอยู่ในใจ ก็ต้องเตือนใจตัวเองว่าให้ระมัดระวังคำพูดและการกระทำของตน ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป เพราะพูดแล้วอาจเกิดผลเสีย ต่อเมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงค่อยพูดหรือทำในสิ่งที่สมควรทำ แต่ถ้าจำเป็นต้องพูดก็พยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้
การหมั่นดูใจของตนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้มีสติหรือรู้ทันอารมณ์ได้ไวขึ้น เมื่อดูบ่อยๆ ก็จะเห็นว่า ความหงุดหงิดนั้นอันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง มันแยกจากกัน สติจะช่วยให้เห็นความหงุดหงิด แทนที่จะรู้สึกว่าฉันหงุดหงิด (คนที่ไม่มีสติ เวลาความหงุดหงิดเกิดขึ้น ก็จะรู้สึกว่าฉันหงุดหงิด แต่ไม่เห็นความหงุดหงิด) สองอย่างนี้ต่างกันมาก
คุณลองมองดูให้ดี ถ้าคุณเห็นความหงุดหงิดบ่อยๆ มันจะมาเยือนใจคุณน้อยลง นานๆ จะมาสักครั้ง และอยู่ได้ไม่นานก็ไป