
เมื่อจิตวิปริตดูหมิ่นพ่อแม่ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
เมื่อจิตวิปริตดูหมิ่นพ่อแม่ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ : ปุจฉา-วิสัชนากับพระไพศาล วิสาโล
ปุจฉา๑ : หนูมีเรื่องทุกข์ใจอย่างมาก อายที่จะให้ใครรู้ อยู่ดีๆ หนูก็เป็นอะไรไม่รู้คุมตัวเองอยู่ หนูเป็นคนรักพ่อแม่มากและก็เชื่อเรื่องบาปบุญ แต่อยู่ดีๆ ก็มีจิตอีกจิตมันด่าบิดามารดา คิดไม่ดีกับพระพุทธรูปพยายามกดมันจนเหนื่อย อีกจิตนึงก็สั่งไม่ๆๆ หนูเป็นได้ยังไงคะทั้งๆ ที่หนูไม่เคยคิดและไม่ใช่คนแบบนั้น ช่วยหาทางออกให้หน่อยสิคะ ทรมานมากๆ เพราะกลัวบาป
ปุจฉา๒ : กราบนมัสการครับ ผมมีปัญหาที่ไม่กล้าถามใคร มันรบกวนใจผมมานานแล้วครับ คือ หลายครั้งผมเผลอนึกลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสงฆ์ รวมไปถึงพระพุทธเจ้าด้วย มันเป็นๆ หายๆ ครับ ทั้งๆ ที่ผมก็มีความเคารพพระรัตนตรัยเป็นอย่างมาก แต่ห้ามตัวเองก็ไม่ได้ ยิ่งห้ามยิ่งคิด ลองปล่อยก็ยิ่งเลยเถิด พอเกิดแต่ละครั้งจะกลัวมากครับว่าจะบาปหนัก บางครั้งยิ่งกลัวก็ยิ่งคิดดูหมิ่นมากขึ้น ทั้งเขกกะโหลกตัวเอง อะไรๆ ก็แล้ว บางครั้งถึงกับร้องไห้ เหมือนคุมตัวเองไม่ได้
คำถามผมคือ ทำไมผมถึงเป็นเช่นนี้ครับ มันเป็นกรรมเก่าอะไรหรือไม่ครับ มีคำอธิบายไหมครับ และผมจะแก้ไขอย่างไรได้บ้างครับ
วิสัชนา: อาการที่คุณทั้งสองเล่ามานั้น เมื่อเกิดขึ้นกับใคร ย่อมทำให้รู้สึกผิดรวมทั้งรู้สึกแย่กับตัวเอง ถึงกับมองตัวเองเลวร้าย เพราะคิดว่าไม่มีใครที่เป็นเหมือนกับตัว แต่ที่จริงอาการดังว่านั้นเกิดขึ้นกับคนเป็นจำนวนไม่น้อย มีหลายคนมาปรึกษากับอาตมาในเรื่องนี้ มีทั้งคนแก่และวัยรุ่น ชายและหญิง จนทำให้อาตมาเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่กลับเป็นเรื่องธรรมดาด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเปิดเผย ว่าตัวเองมีอาการแบบนี้ จึงทำให้เกิดความเข้าใจไปว่าเป็นเรื่องประหลาดวิปริตหากเกิดกับใครก็ตาม
ที่น่าสังเกตก็คือ อาการแบบนี้มักเกิดกับคนที่สุภาพเรียบร้อย สนใจใฝ่ธรรม หากเป็นอย่างที่ตั้งข้อสังเกต ก็เป็นไปได้ว่า อาการดังกล่าวเกิดจากความรู้สึกต่อต้านของกิเลสภายใน (ซึ่งมีกับทุกคน) เพราะคนเรามีทั้งความใฝ่ดีและใฝ่ต่ำ มีทั้งมโนธรรมและความเห็นแก่ตัว มีทั้งเมตตาและโทสะ ทั้งสองฝ่ายนี้จะต่อสู้กันอยู่ภายในเสมอ ดังนั้นพอใครอยากทำความดี ก็จะมีแรงต่อต้านขัดขืนอยู่ภายใน ยิ่งพยายามทำความดี กิเลสภายในก็จะดิ้นรนขัดขืนและท้าทาย จึงเกิดความคิดลบหลู่พระพุทธเจ้าและพ่อแม่ขึ้นมาในใจ พูดอีกอย่างหนึ่ง นี่เป็นความพยายามของ มาร ที่ต้องการรบกวนขัดขวางไม่ให้เราทำความดี
ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ตาม สิ่งที่ผู้คนมักกระทำกันเมื่อมีความคิดลบหลู่ผุดขึ้นมาในใจ ก็คือ กดข่มมัน พยายามบังคับจิตไม่ให้คิด ซึ่งก็ยิ่งเท่ากับเพิ่มกำลังให้แก่มัน อะไรก็ตามที่เราพยายามกดข่มผลักไส มันก็ยิ่งผุดยิ่งโผล่ อะไรก็ตามที่เราถูกสั่งไม่ให้คิด เรากลับคิด (เคยมีการทดลองให้อาสาสมัครนั่งในห้องคนเดียว โดยมีกติกาว่าจะคิดอะไรก็ได้ ยกเว้นอย่างเดียวคือ ห้ามคิดถึงหมีขาว ถ้าคิดถึงหมีขาวเมื่อไหร่ ให้กดกริ่งทันที ปรากฏว่า ไม่ทันไรเสียงกริ่งก็ดังระงมจากห้องต่างๆ ที่อาสามัครนั่งอยู่) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คุณทั้งสองพบว่า ยิ่งกดข่มบังคับไม่ให้คิดลบหลู่ ความคิดลบหลู่ก็ยิ่งอาละวาด
ทางออกก็คือ อย่าไปสนใจมันเวลามันเกิดขึ้น แค่รับรู้เฉยๆ โดยไม่ต้องพยายามกดข่มผลักไสมัน มันจะเกิดกี่ครั้ง ก็ช่างมัน อย่าไปรู้สึกต่อต้านปฏิเสธมัน อย่าไปเกลียดความคิดนี้ด้วยซ้ำ รวมทั้งอย่าเกลียดตัวเองด้วยเมื่อมีความคิดดังกล่าวเกิดขึ้น แค่ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นในใจเราก็พอ พยายามวางใจเป็นกลางหรือวางเฉย ต่อความคิดดังกล่าวนี้คือวิธีการหนึ่งที่พระพุทธองค์และพระสาวกรับมือกับมารที่มาก่อกวนด้วยการแปลงกายในรูปลักษณ์ต่างๆ คือ บอกมารว่า มารผู้ใจบาปเรารู้จักท่าน ท่านอย่านึกว่าเราไม่รู้จักท่าน เพียงเท่านี้มารก็ยอมแพ้และหายตัวไปเพราะมีคนรู้ทันมันแล้ว พระพุทธองค์และพระสาวกไม่ได้ทำอะไรมากกว่าบอกให้มันรู้ว่า ท่านรู้ทันมันแล้ว
ดังนั้นเพียงแค่รู้เฉยๆว่ามีความคิดลบหลู่เกิดขึ้นก็พอ รู้เฉยๆ หมายถึง รู้โดยไม่ทำอะไรกับมัน รู้แล้วก็ไม่สนใจมัน ไม่นานมันก็จะหายไปเอง อันเป็นธรรมดาของความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เกิดแล้วก็ดับไปในที่สุด เราเพียงแต่ปล่อยให้มันดับไปเอง แต่หากไปกดข่มบังคับผลักไสมันก็เท่ากับตกหลุมพรางของมัน หรือต่ออายุให้มัน ทำให้มันมีกำลังรังควานเราได้เรื่อยๆ
การมีสติสำคัญมาก เพราะสติจะช่วยให้รู้เท่าทันมัน ไม่เผลอกดข่มมันหรือเป็นทุกข์เพราะมัน และช่วยให้วางใจเป็นกลางต่อมันได้ ขณะเดียวกันขันติ หรือความอดทนก็จำเป็น เพราะอาการแบบนี้กว่าจะหายต้องใช้เวลา คุณต้องอดทน ไม่รีบร้อน อย่าหวังว่ามันจะหายไวๆ ใหม่ๆ มันจะพยายามก่อกวนคุณหนักกว่าเดิม เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากคุณ แต่ถ้าคุณไม่สนใจมัน มันจะอ่อนแรงไปในที่สุด