พระเครื่อง

 'พระขุนแผนกรุวัดวรเชษฐ์'ฝีมือช่างเดียวกับ'พระขุนแผนเคลือบ'

'พระขุนแผนกรุวัดวรเชษฐ์'ฝีมือช่างเดียวกับ'พระขุนแผนเคลือบ'

03 ม.ค. 2556

'พระขุนแผน กรุวัดวรเชษฐ์'อยุธยา ฝีมือช่างเดียวกับ 'พระขุนแผนเคลือบ'

              วัดวรเชษฐ์ ตั้งอยู่นอกเมืองด้านตะวันตก ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาออกไปราว ๑ กม. อยู่ในเขต ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีถนนโบราณในสมัยอยุธยาสายหนึ่งตัดเป็นแนวตรงจากด้านหน้าวัดประเชด เข้ามาสู่ตัวเมือง บรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างวัดราชพลีกับวัดกษัตราธิราช ตรงข้ามพระราชวังหลัง ตรงนี้คงมีท่าเรือสำหรับพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไปบำเพ็ญพระราชกุศลที่วัดนี้ 

              วัดวรเชษฐ์ เป็นวัดที่มีประเด็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์มากที่สุดวัดหนึ่ง ตั้งแต่ยุคสมัยที่มีการบันทึกและความเห็นแตกต่างกันไปว่า สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น หรืออยุธยาตอนกลาง ซึ่งหากพิจารณาตามโบราณสถานภายในวัดก็ล้วนแต่เป็นไปได้ เพราะพระเจดีย์ทั้ง ๓ องค์ ต่างสร้างในรูปแบบทางศิลปะที่ต่างยุคสมัย แสดงถึงความสำคัญที่พระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์ทรงทำนุบำรุง และปลูกสร้างศาสนสถานติดต่อกันมาหลายรัชกาล ดังที่ ท่าน น.ณ ปากน้ำ ได้แสดงความเห็นทางวิชาการต่อวัดนี้อยู่เสมอๆ ว่า..."ส่วนวัดป่าแก้วเดิมก็คือ วัดวรเชษฐ์ อยู่กลางทุ่งประเชด ส่วนทางทิศตะวันตกนอกตัวเมือง วัดวรเชษฐ์มีปรางค์ใหญ่เป็นหลักของวัด และมีเจดีย์ทรงสูงก่ออิฐไม่สอปูนปรากฏอยู่ด้วย" 

              เจดีย์องค์นี้คล้ายเจดีย์วัดกระซ้าย เป็นเจดีย์แบบอโยธยา แสดงว่า บนโคกนี้เคยเป็นวัดเก่ามีมาแต่สมัยอโยธยา พอสมัยสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้วใช้เป็นที่เผาศพเจ้าแก้วเจ้าไทย แล้วสถาปนาเป็น วัดป่าแก้ว ด้วยอยู่ทางทิศตะวันตกนอกตัวเมืองห่างออกไปเกือบ ๒ กม. แล้วสร้างศิลปวัตถุไว้มาก เนื่องจากเป็นวัดสำคัญ เป็นที่สถิตของพระเถระผู้ใหญ่ คือ พระวันรัต (ชื่อยศของพระภิกษุสายอรัญวาสี ชื่อและความหมายเดียวกับ พระพนรัตน์) อันเป็นสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ทั้งยังเป็นอาจารย์ของพระเจ้าแผ่นดินตลอดมาหลายสมัย จึงมีการสร้างถนนและพูนดินสูงและกว้างใหญ่จาก วัดธรรมาราม อันเป็นท่าน้ำไปสู่วัดป่าแก้ว สำหรับเคลื่อนราชรถและผู้คนที่จะไปนมัสการพระที่วัดนั้น

              ทั้งยังเปรียบเทียบวัดป่าแก้วของเมืองโบราณต่างๆ เช่น วัดอรัญญิกของราชบุรี, วัดอรัญญิกของสุโขทัย, วัดป่าแดงอันเป็นฝ่ายอรัญญิกของเชียงใหม่, วัดป่าเลไลยก์ ก็คือวัดอรัญญิกของสุพรรณบุรี, วัดแก้วของสรรคบุรี ว่าล้วนแล้วแต่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง มีระยะทางห่างกัน ๒-๓ กม. ซึ่งวัดวรเชษฐ์ก็ขึ้นอยู่กับหลักการเดียวกันนี้

              ปรางค์ประธาน ศิลปะใกล้เคียงกับปรางค์สมัยอยุธยาตอนต้น (วัดพุทไธสวรรย์ วัดพระราม วัดราชบูรณะ) แต่มีการพัฒนาให้ซุ้มทิศทั้ง ๔ ยื่นออกมาจากเรือนธาตุมากขึ้น เป็นปรางค์ก่อด้วยอิฐซึ่งโดยทั่วไปใช้อิฐต่างกัน ๒ ขนาด คือ อิฐหนาประมาณ ๑๒ ซม. ใช้ก่อส่วนฐาน และอิฐหนาประมาณ  ๕ ซม. ใช้ก่อส่วนยอด  พระปรางค์ตั้งอยู่บนฐานทักษิณ ซึ่งก่อเป็นฐานบัวลูกฟัก ฐานของปรางค์ก่อฐานบัวลูกฟักซ้อนกัน ๓ ชั้น รองรับเรือนธาตุ ซึ่งก่อมุขทิศยื่นออกมาเท่ากันทั้ง ๔ ด้าน หลังคามุขเป็นมุขลด ๓ ชั้น มีบันไดทางขึ้นสู่มุขทิศทั้ง ๔ โดยด้านตะวันออกเจาะเป็นช่องทางเข้าสู่เรือนธาตุ ส่วนมุขอีก ๓ ด้าน เป็นมุขสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนยอดทำเป็นชั้นรัดประคด ปักกลีบขนุน และมีซุ้มบันแถลงประจำทุกชั้นจำนวน ๗ ชั้น ส่วนยอดคงเป็นรูปดอกบัวตูม ปักนภศูลซึ่งพังลงหมดแล้ว ลักษณะของพระปรางค์น่าจะมีอายุอยู่ในราวต้นพุทธศตวรรษ ที่ ๒๒

              วิหาร ตั้งอยู่ด้านหลังพระปรางค์ในแกนเดียวกัน เป็นวิหารขนาดใหญ่ ใช้วัสดุก่อสร้างแบบเดียวกับพระปรางค์ น่าจะเป็นงานก่อสร้างครั้งเดียวกัน วิหารมีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๑๔x๒๗ เมตร มีมุขยื่นหน้าหลัง โดยมุขหน้าเป็นโถง มุขหลังเป็นมุขทึบ (มีผนัง) วิหารแบ่งเป็น ๗ ห้อง ก่อฐานบัวลูกแก้วอกไก่รองรับผนัง มีประตูทางเข้าวิหารด้านหน้าและหลัง ๒ ประตู

              พระพุทธรูปประธานในอุโบสถ วัดวรเชษฐ์ น่าสนใจมาก เนื่องจากทำเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ๔ องค์ นั่งหันพระปฤษฎางค์ชนทรงปราสาท (ปัจจุบันแตกหักชำรุดหมดแล้ว) ซึ่งยังไม่เคยพบมาก่อนในศิลปกรรมสมัยอยุธยา พระพุทธรูปทั้ง ๔ องค์ดังกล่าวน่าจะหมายถึงพระพุทธเจ้าในอดีต ๔ พระองค์ ได้แก่ พระกกุสันธ พระโกนาคม พระกัสสปะ และพระสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

              นอกจากนี้ยังมีพระอุโบสถ เจดีย์ทรงระฆัง  เจดีย์ทรงปราสาท แนวถนนโบราณสอปูน แนวกำแพงวัด ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นอย่างสูง

              พระขุนแผน วัดวรเชษฐ์  พุทธลักษณะ พระปางมารวิชัย ประทับอยู่บนบัลลังก์ฐานสำเภาในซุ้มเรือนแก้ว รูปแบบทางศิลปะใกล้เคียงกับ พระขุนแผนเคลือบ กรุวัดใหญ่ชัยมงคล สันนิษฐานว่าเกิดจากช่างศิลปะท่านเดียวกัน ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ถึงความสัมพันธ์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับวัดวรเชษฐ์ นอกเกาะเมืองแห่งนี้

              พระขุนแผน กรุวัดวรเชษฐ์ แตกกรุเมื่อครั้งที่กรมศิลปากรเข้าไปบูรณะแนวกำแพงวัด พบพระบรรจุในไหจำนวนหนึ่ง แต่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้พระที่มีจำนวนน้อยนั้นชำรุดไปเกือบทั้งหมด เหลือสมบูรณ์เพียง ๕ องค์เท่านั้น จึงเป็นพระที่หาชมยากมาก และไม่มีหมุนเวียนในตลาด แต่ด้วยความเป็นพระที่มีศิลปะงดงามมาก จึงเป็นที่โจษจันกันจนถึงทุกวันนี้

              พระกรุวัดจงกลม

              วัดจงกลม เป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ ต.คลองสระบัว อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันเป็นวัดร้าง อยู่ห่างจากฝั่งตะวันตกของคลองสระบัว ประมาณ ๒๐๐ เมตร เยื้องวัดพระราม (วัดพระงาม หรือวัดชะราม) ขึ้นไปทางเหนือ 

              วัดจงกลม มีขอบเขตพื้นที่โบราณสถานโดยประมาณ ๔ ไร่ ๒ งาน ๔๗ ตารางวา รอบวัดติดกับที่ดินของชาวบ้านที่เช่าจากกรมศาสนา ด้านทิศเหนือใกล้วัดพระยาแมน ด้านทิศใต้ใกล้วัดพระราม (วัดพระงาม หรือวัดชะราม) ด้านทิศตะวันตกเป็นบริเวณทุ่งขวัญ ด้านตะวันออกเป็นถนนทางเข้าวัด ซึ่งสร้างทับลงบนถนนอิฐสมัยโบราณที่ตัดตรงมาจากคลองสระบัว

              ไม่ปรากฏหลักฐานประวัติความเป็นมาของวัดจงกลม แต่พบเรื่องราวเกี่ยวกับวัดจงกรม ในเอกสารประวัติศาสตร์เรื่อง "พระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนาสมัยสมเด็จพระเพทราชา" ว่า...พระธรรมสารเถร อธิการวัดจงกรม ได้เข้าร่วมถวายพระพรสมเด็จพระเพทราชา ณ พระที่นั่งบรรยงต์รัตนาสน์ ในพระบรมมหาราชวังใน พ.ศ.๒๒๔๒...ซึ่งนับเป็นข้อสันนิษฐานได้ว่า วัดจงกลม เป็นวัดเดียวกับวัดจงกรมในเอกสารประวัติศาสตร์ดังกล่าว แต่ต่อมาภายหลังการสะกดคลาดเคลื่อนไป เพราะคำว่า "จงกลม" นั้นไม่มีความหมาย แต่คำว่า  "จงกรม" หมายถึง อาการที่เดินไปมาในที่กำหนดอย่างพระเจริญกรรมฐานเดิน เรียกว่า "เดินจงกรม" ซึ่งอาจเปรียบเทียบได้กับภาพการเดินวนทักษิณาวัตรของพระพุทธรูปปางลีลาในซุ้มจระนำรอบเจดีย์ประธานวัดจงกลม ซึ่ง น.ณ ปากน้ำ จิตรกรผู้สนใจในการศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ กล่าวไว้ในหนังสือ "ห้าเดือนกลางซากอิฐปูนที่อยุธยา" หนังสือที่รวมเรื่องราวการสำรวจโบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ.๒๕๑๐

              วัดจงกลม สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น สืบเนื่องมาจนไม่กี่สิบปีที่แล้ว จึงได้ร้างไป ทำให้วัดจงกลมชำรุดทรุดโทรมปรักหักพังลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกรมศิลปากรเข้าไปดำเนินการขุดค้น ขุดแต่ง ทางโบราณคดี ในปีงบประมาณ ๒๕๔๒

              วัดจงกลม น่าจะเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งในบริเวณทุ่งขวัญ ริมคลองสระบัว  ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด จนกระทั่งร้างไปในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดจงกลมเป็นโบราณสถานของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๖๐ ตอนที่ ๓๙ วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๖

              พระพิมพ์พระประธาน กรุวัดจงกลม

              พระพิมพ์พระประธาน กรุวัดจงกลมนี้ เป็นพระที่กำเนิดขึ้นในสมัยอยุธยา พระกรุนี้ปรากฏพบเมื่อหลายสิบปีก่อน และมีการพบพระพิมพ์นี้กันเรื่อยมา พุทธลักษณะ เป็นพระทรงห้าเหลี่ยม องค์พระประทับนั่งปางสมาธิอยู่บนฐานผ้าทิพย์ทรงสูง ด้านข้างเป็นเสารองรับซุ้มเรือนแก้ว องค์พระค่อนข้างใหญ่ บางองค์ด้านล่างจะมีรูคล้ายรอยเสียบไม้ เนื้อพระค่อนข้างหยาบ บางองค์ลงรักปิดทองล่องชาดไว้ 

              พระพิมพ์นี้แตกกรุออกมาไม่มากนัก จึงไม่ค่อยพบเห็นกันบ่อย จัดว่าเป็นพระที่หาชมได้ยากอีกพิมพ์หนึ่ง