
'หลานพุทธทาส'แจงปรับภูมิทัศน์สวนโมกข์
'หลานพุทธทาส' ประธานมูลนิธิธรรมทาน วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม แจงเหตุถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงภายในสวนโมกข์ มีเจริญก็ต้องมีเสื่อม พระในสวนโมกข์เองก็อ่อน
30ส.ค.2556 นายเมตตา พานิช ประธานกรรมการธรรมทานมูลนิธิ อดีตไวยาวัจกรวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ให้สัมภาษณ์ "คม ชัด ลึก" เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม แสดงความเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในวัดและสวนโมกขพลารามว่า "ถ้าเราไม่สามารถหยุดได้ มันก็ต้องเปลี่ยน"
นายเมตตาพ้นจากหน้าที่ไวยาวัจกรตามวาระที่เจ้าอาวาสท่านเดิมพ้นจากตำแหน่งไป โดยเมื่อหลายวันที่ผ่านมาในโลกออนไลน์มีกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า เพื่อนสวนโมกข์ ได้แชร์ข้อความ "จดหมายจากเพื่อนสวนโมกข์" บอกเล่าเรื่องราว และ "ความเปลี่ยนแปลง" ที่เกิดขึ้นภายในสวนโมกขพลารามและวัดธารน้ำไหล ทั้งเรื่องการบริหารเงินบริจาค การปลดพระผู้ใหญ่ในวัด เปลี่ยนไวยาวัจกร และการก่อสร้างถาวรวัตถุ ซึ่งเพื่อนสวนโมกข์เห็นว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของท่านพุทธทาส และในความเปลี่ยนแปลงนั้น มีชื่อของนายเมตตาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
นายเมตตา เป็นบุตรชายคนสุดท้องของท่านธรรมทาส พานิช น้องชายของท่านพุทธทาสภิกขุ จึงมีศักดิ์เป็นหลานชายของท่านพุทธทาส ที่เป็นกำลังสำคัญหลักในการทำงาน ดูแลโครงการต่างๆ ตีพิมพ์หนังสือธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุออกเผยแพร่ ภายใต้ร่มเงาของสวนโมกข์ ได้ออกมาอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสวนโมกข์วันนี้ ตั้งแต่มีการเปลี่ยนผ่านเจ้าอาวาส เป็นพระอาจารย์สุชาติ ปัญญาทีโป
ประธานกรรมการธรรมทานมูลนิธิ อธิบายว่า ช่วงนี้เห็นความทุกข์เยอะ ทุกข์จากที่เราเคยคิดว่า มันต้องเป็นอย่างนั้นๆ ต้องรักษาไว้อย่างนั้นๆ ใจเราอยากจะอนุรักษ์ไว้ แล้วเราก็ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้เห็นแล้วว่า ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงก็ปล่อยให้เปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่ว่า ไม่แสดงจุดยืน เราพยายามแสดงจุดยืน ให้เห็นว่า อะไรควรรักษาไว้
"แต่ถ้ามันต้องเปลี่ยนแปลง แล้วเราไม่สามารถหยุดได้ มันก็ต้องเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนวันนี้ สิบปีข้างหน้า ห้าสิบปีข้างหน้าก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี ก็เห็นทุกข์ตอนนี้ แต่มันอาจจะดีขึ้นก็ได้ เป็นการเรียนรู้ของทุกคนในสวนโมกข์"
ประธานกรรมการธรรมทานมูลนิธิอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับตัวเองว่า เมื่อเปลี่ยนเจ้าอาวาสก็เปลี่ยนไวยาวัจกรตามกฎหมาย ตอนนี้ไม่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับวัดธารน้ำไหลแล้ว บัญชีของวัดทางเจ้าอาวาสก็เปิดต่างหาก มีกรรมการใหม่ ไม่ได้เป็นบัญชีเดิม เป็นบัญชีใหม่ ที่ทราบมาคือ ท่านเจ้าอาวาสอาจจะกังวลเรื่องที่จะผิดกฎหมาย จึงไปคุยกับเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ซึ่งเขาก็แนะนำกันไปตามลำดับ ก็เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะไปทำ "ผมอยู่นอกวงแล้ว ผมก็เพียงแค่ดูแลธรรมทานมูลนิธิอย่างเดียว"
นายเมตตาบอกว่า ท่านอาจารย์สุชาติ เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหลรูปใหม่ มีอำนาจตามกฎหมายของมหาเถรสมาคม ท่านก็คงทำไปตามขั้นตอน แต่ก่อนเราก็มองตามท่านพุทธทาสว่า สวนโมกข์ต้องเป็นอิสระ แต่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ท่านอาจารย์โพธิ์ จันทสโร อดีตเจ้าอาวาส ก็ให้ทำบัญชีรายรับรายจ่าย แล้วรายงานเป็นปกติ
สำหรับสวนโมกข์นานาชาติ และธรรมาศรมธรรมมาตา ขึ้นอยู่กับส่วนไหนนั้น ประธานกรรมการธรรมทานมูลนิธิชี้แจงว่า ที่ดินสวนโมกข์นานาชาติ เป็นของธรรมทานมูลนิธิ แต่เวลาเปิดบัญชีต้องขอเปิดในนามวัดธารน้ำไหล บัญชีธรรมาศรมธรรมมาตาก็ขอเปิดในนามวัดธารน้ำไหล ซึ่งเขามอบให้ท่านอาจารย์สุชาติตั้งแต่ท่านเข้ามารับเป็นเจ้าอาวาส เวลาเราจะทำอะไรก็บอกท่าน ท่านกับไวยาวัจกรก็เซ็นให้ตามปกติ ก็ทำรายการว่าจะเบิกใช้อะไร เพราะเราเปิดในนามวัดธารน้ำไหล ตามกฎมหาเถรสมาคมก็ให้ท่านดูแล ส่วนทรัพย์สินที่ดินก็เป็นของมูลนิธิ แล้วก็เป็นทรัพย์สินสวนโมกข์นั่นแหละ ถ้าพูดตามหลักกฎหมายไม่จบ แต่ถ้าพูดว่า ทุกส่วนคือสวนโมกข์ มันจบ ไม่มีอย่างอื่น ถ้าจะให้รองรับก็ต้องเป็นวัดธารน้ำไหล ธรรมทานมูลนิธิก็เปิดในนามวัดธารน้ำไหล
"ผมคงไม่เข้าไปยุ่งอะไรแล้ว เขาจะตั้งให้ผมเป็นที่ปรึกษาเหมือนกัน แต่ผมบอกว่า ผมอยากเกษียณแล้วเหมือนกัน อยากกลับไปอยู่บ้านสบายๆ อายุก็หกสิบปีแล้ว การเป็นไวยาวัจกร ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องเงิน คนที่ไม่เข้าใจก็มองว่า ทำมานานแล้ว มีอะไรหรือเปล่า ถ้าทำต่อก็ไม่มีผลดีกับเรา ต่อให้เราซื่อสัตย์ที่สุด ก็มีคำครหา ไม่ว่าใครก็ตามมาทำหน้าที่ตรงนี้ ก็ต้องถูกสงสัย สมัยท่านอาจารย์พุทธทาสยังอยู่ ท่านสิงห์ทอง เขมิโย ทำหน้าที่ตรงนี้ก็ยังโดนเหมือนกัน ท่านจ้อย พระครูใบฎีกามณเฑียร มณฺฑิโร ก็ถูกสงสัยเรื่องนี้ ท่านจึงไปอยู่วัดตะกรบ ที่พุมเรียง จ.สุราษฎร์ธานี สบายๆ ผมว่าท่านสบายแล้ว ไม่ต้องยุ่งเรื่องเงินสบายใจที่สุด โดยเฉพาะเรื่องเงินของวัด ตอนนี้ผมหายใจสบาย"
สำหรับเรื่องการปรับภูมิทัศน์บนเขาพุทธทองที่เป็นปัญหา และแชร์แสดงความเห็นกันผ่านโลกออนไลน์นั้น นายเมตตาบอกว่า "ชาวบ้านมาขอให้ผมไปชี้แจงว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านสิงห์ทองก็บอกว่าให้ไปดูกัน ผมอยู่ฝั่งสวนโมกข์นานาชาติก็ไม่รู้ไม่เห็น พอขึ้นไปก็เห็นเสาปูนอยู่สองต้น ต่อมามีการเทปูน ชาวบ้านก็ไม่เห็นด้วย มาบอกผมว่า มันเป็นมาอย่างไร มีโครงการอย่างไร อย่าทำได้ไหม จริงๆ แล้วท่านเจ้าอาวาสจะทำอะไรก็น่าจะบอกคนในวัดทั้งหมด แต่เราไม่รู้"
ส่วนภาพของสวนโมกข์ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ โดยมีผู้สงสัยสภาพภายในคณะสงฆ์และคนวัดนั้น นายเมตตากล่าวว่า ตอนนี้จะเรียกว่า คนในวัดยังมีความเห็นต่างกัน ยังไม่เข้าใจกันมากกว่า ไม่ใช่เรื่องของการแตกกัน แต่ขาดความสามัคคี สวนโมกข์เองก็ต้องยอมรับว่า มีเจริญก็ต้องมีเสื่อม พระในสวนโมกข์เองก็อ่อน ตั้งแต่หลังท่านอาจารย์พุทธทาสก็อ่อนลงไปเรื่อยๆ เราก็ต้องยอมรับตรงนี้ ที่เกิดขึ้นได้วันนี้ก็เพราะมีเหตุ แล้วตอนนี้คนที่ไม่เคยทำงานก็อยากมาทำงานกับวัด พอเปลี่ยนเจ้าอาวาสก็เปลี่ยนคนทำงาน คนก็อยากทำงานโดยเป็นธรรมชาติ
"เรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำให้สวนโมกข์เข้มแข็งขึ้น ทุกคนก็จะมีโอกาสคุยกันมากขึ้น จะได้แสดงความคิดเห็นกันกว้างๆ ไม่ใช่แคบๆ อย่างที่ผ่านมา แคบมาก คุยกันอยู่ไม่กี่คน ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ต้องคุยกันกว้างๆ แล้วก็ชาวบ้านรอบวัดด้วย ให้ชาวบ้านมามีส่วนร่วม ผมว่าดี จริงๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรเสีย สบายใจได้ ธรรมะมันจะลงตัวของมันเอง ความถูกต้องจะลงตัวของมันเองตามธรรมชาติ ช่วงที่ผ่านมาทำให้ตัวเองทุกข์เยอะเลย ก็รู้ว่า ดีนะ โชคดีที่มาได้เห็นทุกข์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยเจอ ก็ช่วยให้เราได้เรียนรู้ตรงๆ เลย"