พระเครื่อง

ความศักดิ์สิทธิ์ของดาวลูกไก่

ความศักดิ์สิทธิ์ของดาวลูกไก่

08 ต.ค. 2556

ความศักดิ์สิทธิ์ของดาวลูกไก่เรื่องของ'ดาราศาสตร์ ความเชื่อ และคติธรรม' : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

               “ความรู้สู่ความจริงแท้” เป็นนิทรรศการที่ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล ประธานจัดสร้างเทวาลัยจตุคามรามเทพนากปรก ๙ เศียร องค์ใหญ่ที่สุดในโลกและงดงามที่สุดในโลก ณ ริมฝั่งแม่น้ำกุยบุรี ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จัดขึ้นเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจตุคามรามเทพ ดาราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาด้วยทุกครั้ง

               ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา เทวาลัยจตุคามฯ ได้นำองค์จตุคามฯ ปรก ๙ เศียร จำลองมาโชว์ ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.สรรเพชญ ได้ให้ความรู้เรื่อง "ความศักดิ์สิทธิ์กลุ่มดาวฤกษ์กฤติกา เรื่องของดาราศาสตร์ ความเชื่อ และคติธรรม" ซึ่งมีใจความที่น่าสนใจดังนี้

               พล.ต.ท.สรรเพชญ อธิบายให้ฟังว่า โหราจารย์ในอดีตสังเกตเห็นกลุ่มดาวฤกษ์ที่สถิตอยู่ในบาทฤกษ์สุดท้ายของราศีเมษ ต่อเนื่องกับราศีพฤษ มองดูมีรูปลักษณะคล้ายกับ “รูปไก่” สถิตอยู่ในท้องฟ้า ตรงกับภพภูมิที่ ๑ ของดวงชะตาโลก เรียกกลุ่มดาวฤกษ์ดังกล่าวว่า “กลุ่มดาวฤกษ์กฤติกา” แปลว่า “กลุ่มดาวฤกษ์รูปไก่” นอกจากนั้นรู้ว่า ในดาราจักรทางช้างเผือก มีกลุ่มดาวฤกษ์เรียงรายอยู่ ๑๒ กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีรูปลักษณะคล้ายรูปสัตว์ในโลก ๑๒ ชนิด จึงเรียกกลุ่มดาวฤกษ์นั้นว่า “ดาว ๑๒ นักษัตร” และสังเกตเห็นว่า ดาวฤกษ์กลุ่มที่ ๑๐ เป็นกลุ่มดาวฤกษ์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนไก่ในสวรรค์ ซึ่งโลกของเราจะต้องโคจรผ่าน ๑ ครั้งในรอบ ๑๒ ปี จึงเรียกกลุ่มดาวฤกษ์นี้ว่า “ดาวนักษัตรระกา” แปลว่าดาวนักษัตรรูปไก่ 
 
               วิชาโหราศาสตร์กำหนดให้กลุ่มดาวฤกษ์ ๒๗ กลุ่ม เรียงรายต่อเนื่องกันไปตามราศีต่างๆ ทั้ง ๑๒ ราศี แต่ละราศีแบ่งออก “ตรียางค์” แบ่งแยกย่อย “ตรียางค์” ออกเป็น “นวางค์” หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บาทฤกษ์” แบ่งแยก “บาทฤกษ์” ออกเป็น ๔ ส่วน เรียกว่า ปฐมบาททุติยบาท ตติยบาท จตุตถบาท กลุ่มดาวฤกษ์บางกลุ่มสถิตอยู่คาบเกี่ยวระหว่าง ๒ ราศี โหราจารย์เรียกว่า “บาทฤกษ์ขาด” หรือ “บาทฤกษ์แตก” ถือว่าเป็นฤกษ์ร้าย

               ในจำนวนบาทฤกษ์ขาดทั้งหลาย ปรากฏว่า “กลุ่มดาวฤกษ์กฤติกา” สถิตอยู่ในบาทฤกษ์ขาด คือ บริเวณปลายราศีเมษคาบเกี่ยวกับราศีพฤษภ อยู่ระหว่าง “นวางค์พฤหัส” กับ “นวางค์เสาร์” เรียกว่า “โจโรฤกษ์” แปลว่า “ฤกษ์ดาวโจร” เป็นฤกษ์ร้ายเหมาะสำหรับปล้นค่ายทลายค่ายคูประตูขอรบของข้าศึกเพื่อปล้นบ้านปล้นเมือง ผู้ที่ไม่เข้าใจปรัชญาโหราศาสตร์ให้ถึงแก่นสำคัญผิดคิดว่าเป็นฤกษ์อัปมงคล แต่ผู้รู้จริงกลับเห็นว่า เป็น “ฤกษ์ดี” ถ้าไม่มีฤกษ์นี้โลกของเราจะไม่มี

               จอมจักรพรรดิ กษัตราธิราช ขุนศึก ขุนพล ขุนคลัง มหาเศรษฐี เจ้าสัว ดารานักแสดง ศิลปิน นักดนตรีเอก มีแต่ผู้ทางศีล ไม่มีผู้รักษาแผ่นดินรักษาชาติให้เราได้อยู่อาศัย เพราะรู้จริงรู้แจ้งรู้ถึงนัยความหมายอันล้ำลึกว่าเป็นฤกษ์แห่งการช่วงชิงความได้เปรียบ  ฤกษ์แห่งการต่อสู้ ฤกษ์แห่งการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส

               นักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่เกือบไม่มีใครรู้ว่า “รูปดวงชะตา” ที่เรียกว่า “ดวงอีแปะ” ประกอบขึ้นด้วย แผนภูมิของจักรวาล แผนภูมิของชั้นบรรยากาศ แผนภูมิของโลก แผนภูมิรูปกายของมนุษย์ สัตว์ พืช ซึ่งโหราจารย์จำลองมาเป็นรูปดวงชะตา ๔ ดวงซ้อนกันอยู่ คือ “รูปดวงจักรวาล” “ดวงชั้นบรรยากาศ” “ดวงชะตาโลก” “ดวงชะตามนุษย์สัตว์พืช” เชื่อมโยงต่อเนื่องถึงกันด้วยคลื่นสัญญาณเร้นลับที่ไม่มีตัวตน อาจเปรียบได้กับสถานีส่งคลื่นสัญญาณกับสถานีรับคลื่นสัญญาณ เชื่อมโยงถึงกันอยู่ตลอดเวลาด้วย

               ระบบคลื่นพลังแสงของดวงดาวในจักรวาลส่องเข้ามาปรุงแต่งแปลงสภาพระบบธาตุในโลก เพื่อให้บังเกิดสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติ ขึ้นมาในโลก โหราจารย์จึงกำหนดให้ “ราศีเมษ” เป็นจุดเริ่มต้น เพราะว่าเป็นจุดที่ดวงอาทิตย์โคจรมาครบรอบวงกลม ๓๖๐ องศา ภพเริ่มต้นของแผนภูมิดังกล่าวเรียกว่า “ภพตะนุ” แปลว่า ตัวตนของโลก กำหนดให้ดาวอังคารเป็นเจ้าครองเรือนเกษตรของธาตุไฟ ดาวพระอังคารอันเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายของขุนศึก ขุนพล นักรบผู้แกล้วกล้าสามารถเฝ้าพิทักษ์รักษาโลก 

               พล.ต.ท.สรรเพชญ อธิบายต่อว่า ภพถัดไปเป็น “ราศีพฤภ” เรียกว่า “ภพกะดุมภะ” แปลว่า ขุมทรัพยากรมหาศาลของโลก กำหนดให้ดาวพระศุกร์ อันเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายของขุนคลัง มหาเศรษฐี ดาราเด่นดัง ศิลปินชื่อก้อง ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นเจ้าของทรัพย์ในดินสินในน้ำในอากาศ ใครก็ตามที่ “ดาวพระศุกร์” เด่นในดวงชะตาอยู่ในภพที่ดีส่งเสริมแล้ว เป็นผู้มีโชควาสนาเงินทองไหลมาไม่ขาดสายเหมือนต้นไม้ใกล้น้ำ

               น่าแปลกใจ เกือบไม่มีใครรู้ว่า “กลุ่มดาวฤกษ์กฤติกา” หรือ “กลุ่มดาวฤกษ์รูปไก่” เจ้าแห่งฤกษ์ดาวโจร ซึ่งมีอุปนิสัยคล้ายกับดาวพระราหู เทพบุตรที่ไม่เกรงเทวดาหน้าไหน แต่ดาวรูปไก่มีคุณสมบัติวิเศษยิ่งกว่ากลุ่มดาวฤกษ์อื่น เพราะว่าเป็นเจ้าของ “ภพกะดุมภะของโลก” คือเป็นเจ้าของขุมทรัพยากรทั้งปวงบนพื้นพิภพ เปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่ความรู้มีความมานะพยายามรู้จักค้นหาขุดคุ้ยขยันหากินไม่มีอดอยากยากจน

               ในการประกอบพิธีกรรมเพื่อช่วยเหลือลูกหลานที่ตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร “เจ้าแม่นางพญา” และ “องค์จตุคามรามเทพ” มักกล่าวเปรียบเปรยเป็นอุบายในเชิงแนะนำให้คิดเป็นปริศนาว่า “ให้อยู่อย่างไก่ หากินอย่างไก่” บางคนอาจฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้นัยความหมายอันล้ำลึก ผู้ที่คลั่งศาสนาบางคนดูหมิ่นนินทาว่าสั่งสอนให้คนนับถือไก่กราบไหว้รูปสัตว์เดรัจฉาน ไม่นับถือพระนับถือเจ้า ใครจะติเตียนว่าอย่างไรไม่ถือสาหาความ มีแต่ความสมเพชเวทนาสงสารว่าพูดไปเพราะ “ความไม่รู้”

               สำหรับผู้ที่สนใจร่วมพิธี "ขอได้ไหว้รับ" รวมทั้งฟังบรรยายความรูเรื่องจตุคาม ประวัติศาสตร์ของประเทศ การปราบโจรร้ายที่มีเวทมนตร์ในอดีต รวมทั้งความรู้ทางพุทธศาสนา ในวันอาทิตย์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ นี้ ตั้งเวลา ๐๘.๓๐ น.เป็นต้น พล.ต.ท.สรรเพชญ จะเปิดบรรยายฟรี ณ เทวาลัยจุตคามฯ สอบถามเส้นทางได้ที่ โทร.๐๘-๑๔๓๔-๗๓๒๘ หรือดูรายละเอียดได้ที่ "WWW.SURIYUNJUNTRA.COM"


อยู่อย่างไก่ขยันหากินเหมือนไก่ 


               “เจ้าแม่นางพญา” จึงบอกลูกหลานเป็นข้อคิดปริศนาเป็นอุบายชี้บอกให้รู้ว่า ขุมทรัพย์มหาศาลของโลกอยู่ใน “กลุ่มดาวฤกษ์กฤติกา” ใครมีปัญญาขวนขวายทำมาหากินเหมือนไก่ ยึดถืออุปนิสัยของไก่เป็นตัวอย่างในการสร้างชีวิตไม่มีอับจน แต่ด้วยความห่วงใยลูกหลานเกรงว่านานไปจะหลงลืม จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.สรรเพชญ จำลองดาวรูปไก่จากชั้นฟ้าลงมาเป็นศิลปกรรมในโลก เพื่อเป็นสื่อแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของดาวฤกษ์กฤติกา ซึ่งจักรวาลมอบหมายมาให้เป็นตัวแทนของสัตว์ปีกทั้งหลายในโลก

               ผู้ใดตระหนักถึงอุปนิสัยของไก่ มีสติปัญญามีญาณหยั่งรู้เหมือนไก่ สัตว์โลกชนิดเดียวที่มีรูปลักษณ์งามสง่ามีสีสันสดใสดุจดังสีของมณีรัตนชาติครบถ้วน จนได้รับสมญาว่าเป็นอัญมณีที่มีชีวิต ขยันคุ้ยเขี่ยหากินไม่หยุดหย่อน โก่งคอขันเจื้อยแจ้ว เจ้าชู้ ออกลูกเก่ง เลี้ยงลูกเก่ง กล้าหาญชาญชัยเป็นนักสู้ฉกาจฉกรรจ์ยอมตายคาสังเวียน รู้จักระมัดระวังภัย ตรงต่อเวลา ขันบอกโมงยามให้รู้ว่าน้ำขึ้นน้ำลง ขันปลุกสัตว์โลกให้ตื่นออกไปหากินตั้งแต่เช้าตรู่ 

               ผู้ใดตระหนักถึงคุณสมบัติอันแสนวิเศษเลิศลอยนานาประการของไก่ นำมาเป็นคติเตือนใจยึดถือเป็นแนวทางสร้างชีวิต สร้างครอบครัว สร้างกิจการงานอาชีพ ย่อมเกิดแต่ความมั่นคงมั่งคั่งเจริญรุ่งเรืองไม่มีตกต่ำ มีแต่คนเขลาไม่รู้จักทำมาหากินเท่านั้นที่ตำหนิติเตียนว่าสั่งสอนให้นับถือกราบไหว้สัตว์เดรัจฉาน “เจ้าแม่นางพญา” จึงผูกถ้อยคำเป็นข้อคิดปริศนาตักเตือนสั่งสอนลูกหลานว่า

               “อยู่อย่างไก่ ขยันหากินเหมือนไก่ ชีวิตนี้ไม่มียากจน ทำมาค้าขึ้น มั่งมีศรีสุข”