พระเครื่อง

สุสาน-มูลนิธิวัดพนัญเชิงที่'คนอยุธยาคนจีนยังไม่รู้ความจริง'

สุสาน-มูลนิธิวัดพนัญเชิงที่'คนอยุธยาคนจีนยังไม่รู้ความจริง'

21 เม.ย. 2557

สุสานและมูลนิธิวัดพนัญเชิงเบื้องหลังที่'คนอยุธยาและลูกหลานจีนยังไม่รู้ความจริง' : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

           "กรณีพิพาทที่ดินสุสานระหว่างวัดพนัญเชิงวรวิหาร" สื่อมวลชนหลายสาขาได้มีความพยายามที่จะนำเสนอข้อมูลต่างๆ เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าฝ่ายต่อต้านได้พื้นที่ข่าวมากกว่า "ฝ่ายวัด" ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เกิดกรณีพิพาท พระเทพรัตนากร (นพปฏล กตสาโร) หรือเจ้าคุณแวว เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่เคยออกมาพูดโต้ตอบหรือให้ข่าวใดๆ เลย

           "ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้วัดเคยถูกต่อต้านอย่างรุนแรงเรื่องงานเทกระจาดมาครั้งหนึ่ง โดยมีคนอ้างว่าเป็นงานของคนจีนไม่ใช่งานของวัด แต่อาตมาแย้งไปว่าเมื่อจัดที่วัดก็ต้องเป็นงานของวัด ก่อนที่วัดจัดเองได้เคยขอดูข้อมูลเรื่องการบริจาคเงินให้หน่วยงานต่างๆ ในวันเทกระจาด กลับไม่มีข้อมูลใดๆ เสร็จงานมีเงินเข้าวัดหมื่นเดียว แต่เมื่อวัดมาจัดเอง ข้าวสารที่เคยแจกประมาณ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ ถุง ก็เพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ ถุง เงินบริจาคให้หน่วยงานกุศลก็เป็นหลักแสน ชี้ให้เห็นว่าการต่อต้านครั้งนั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ส่วนการในครั้งนี้อาตมาไม่อยากคิดว่าต่อต้านเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่สิ่งที่อาตมาทำได้ประกาศชัดเจนว่า เอาที่ดินกลับคืนมาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม" นี่เป็นคำยืนยันของ เจ้าคุณแวว กับ "คม ชัด ลึก"

           เจ้าคุณแวว เล่าให้ฟังว่า เดิมทีนั้นมูลนิธิวัดพนัญเชิง (เซี่ยง เต็ก ตึ๊ง) มีไวยาวัจกรของวัดเป็นประธานมูลนิธิ มีเจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงฯ เป็นที่ปรึกษา เมื่ออดีตเจ้าอาวาสมรณภาพ ไวยาวัจกรของวัดเสียชีวิต เจ้าอาวาสรูปถัดมาไม่ได้ใส่ใจเรื่องมูลนิธิ รวมทั้งไวยาวัจกรของวัดไม่ได้เป็นประธานมูลนิธิ ต่อมาไม่ทราบว่าไปมีการเดินเรื่องวิ่งเต้นแก้กฎระเบียบตอนไหนกลับกลายเป็นว่า ไม่มีคนของวัดอยู่ในมูลนิธิเลยสักคนเดียว แล้วจะเป็นมูลนิธิวัดพนัญเชิงได้อย่างไร และเมื่อไม่มีประธานการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับวัดพนัญเชิงก็ต้องยกเลิกมูลนิธิโดยปริยาย ทั้งนี้มีระเบียบอยู่ข้อหนึ่งว่า “เมื่อมูลธิเป็นอันต้องล้มเลิก ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นสมบัติของวัดพนัญเชิง หรือหอการค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา" แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ

           เมื่อครั้งที่เจ้าอาวาสรูปเดิมยังมีชีวิตอยู่ ทางวัดได้ทำหนังสือขอเข้าไปเป็นกรรมการมูลนิธิ เพราะเดิมทีทั้งประธานและที่ปรึกษาก็เป็นคนของวัด แต่กลับตอบปฏิเสธมาโดยอ้างแบบง่ายๆ ว่า “ไม่ว่างประชุม” โดยไม่ให้วัดเข้าร่วมเป็นกรรมการ ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเป็นของวัดทั้งหมด ทั้งชื่อมูลนิธิ สถานที่ตั้ง ที่ดินที่ใช้ประโยชน์ แต่กลับไม่มีกรรมการเป็นของวัดเลยสักคน ดังนั้นทางวัดจึงทำเรื่องขอที่ดินคืน ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่มูลนิธิก็เดินเรื่องขอตั้งเป็นสุสานสาธารณะ แต่ไม่สามารถตั้งได้เพราะไม่ใช่ที่ดินของมูลนิธิ มีการติดต่อขอให้อดีตเจ้าอาวาสเซ็นยินยอมหลายครั้งแต่อดีตเจ้าอาวาสท่านไม่ยอม ที่ดินจึงเป็นของวัดโดยชอบตามกฎหมาย เมื่อแก้ปัญหาด้านอื่นๆ เรียบร้อยแล้วทางวัดจึงมาแก้ปัญหาเรื่องการใช้ที่ดินของวัดให้ถูกต้อง

           ประเด็นหนึ่งที่กรรมการมูลนิธิวัดพนัญเชิงไม่เคยเปิดเผยและพูดถึง คือ การแก้ไขตราสาร (ข้อบังคับของมูลนิธิ) และกรรมการหลายครั้ง จนปัจจุบันไม่มีบุคคลฝ่ายวัดพนัญเชิงเลยสักคน ทั้งๆ ที่แรกเริ่มของการตั้งมูลนิธิเกิดจากกรรมการฝ่ายวัด ทำให้การบริหารจัดการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวัดพนัญเชิง จนมีข้อกล่าวหาว่า ทางวัดพนัญเชิงนำที่ดินไปแสวงหาผลประโยชน์จากคนไทยเชื้อสายจีนที่นำบรรพบุรุษมาฝัง โดยมีการเรียกค่าที่ดินรายละหลายหมื่นบาทจนถึงหลายแสน

           “ทุกครั้งที่อาตมาเข้าไปจัดระเบียบภายในวัดซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าอาวาส นอกจากจะถูกคัดค้านด้วยกลุ่มผลประโยชน์ทุกวิถีทาง อาตมายังถูกคุกคามเรื่องเอาชีวิตหลายครั้ง ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าหน้าที่บ้านเมืองถึงกับร้องขอไม่ให้ออกบิณฑบาต ซึ่งอาตมาไม่ได้ออกบิณฑบาตมา ๒ เดือนแล้ว” เจ้าคุณแววกล่าวทิ้งท้าย


ต้านเพื่อคนอยู่หรือต่อสู้เพื่อคนตาย?


           พระมหาเชิดชัย กตปุญโญ รองเจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร รองเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บอกว่า เรื่องการย้ายสุสานครั้งนี้ได้หารือกันมานานพอสมควร วัตถุประสงค์แรก มีประชาชนจำนวนมากร้องเรียนว่ามาวัดพนัญเชิงวรวิหารไม่มีสถานที่จอดรถ เข้าออกวัดไม่สะดวก อีกทั้งในฐานะที่เป็นวัดที่พระเทพรัตนากร เจ้าอาวาสวัดและเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่ที่นี่ ทราบว่ามีพระที่อาพาตไม่มีญาติโยมดูแลจึงคิดสร้างตึกอาพาธสงฆ์ และสถานที่ปฏิบัติธรรม โดยเลือกที่จะใช้ส่วนที่เป็นที่ดินของวัดที่ใช้เป็นสุสาน ยืนยันว่าจะไม่ได้นำไปหาผลประโยชน์ทางธุรกิจหรือสร้างอาคารพาณิชย์อย่างที่มีหลายคนเข้าใจ โดยจะให้เวลาการเคลื่อนย้ายหลุมศพภายใน ๑ ปี ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๗

           ทั้งนี้หากจะยกเรื่องความชอบธรรม เหตุที่ญาติโยมยกที่ดินให้วัดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีใครถวายที่ดินให้วัดเพื่อทำป่าช้าฝังศพ มีแต่ถวายเพื่อการพระศาสนา เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน มิใช่เพื่อประโยชน์ต่อบุคคลกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด การยกที่ดินวัดให้ใครใช้โดยไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายเจ้าอาวาสมีความผิดถือว่าละเลยต่อหน้าที่ นอกจากนี้แล้วมูลนิธิที่ทำสุสานส่วนใหญ่จะซื้อที่ดินเป็นของตัวเอง ในกรณีสุสานวัดพนัญเชิง ก่อนหน้านี้ทางวัดก็ได้รับร้องเรียนว่ามีการนำหลุมฝังศพไปจำหน่ายในราคาไม่ต่ำกว่า ๓ แสนบาท เก็บเงินค่าผลประโยชน์กัน ทำให้วัดต้องชี้แจงอยู่ตลอดโดยทางวัดไม่เคยมีนโยบายขายหลุมฝังศพแต่อย่างใด

           ข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย คือ ประเด็นการต่อสู้เพื่อปกป้องสุสาน เดิมทีนั้นมีการตั้งธงต่อต้านประเด็นเรื่องขุดศพบรรพบุรุษขึ้นมาเผาไม่ได้ แต่เมื่อมีการทำความเข้าใจเรื่องการขุดศพสามารถทำได้ ขณะเดียวกันเมื่อญาติได้เห็นสภาพความเป็นจริงว่าโรงศพได้ผุพังเกือบไม่เหลือสภาพ รวมทั้งกระดูกแช่อยู่ในโคลนตมมีญาติจำนวนไม่น้อยมาติดต่อวัดเพื่อขุดขึ้นมาเผาตามพิธีกรรม บางคนก็ย้ายไปสุสานอื่นได้ไม่ได้ผิดอะไร หลังจากวัดประกาศออกไปว่าจะขอใช้พื้นที่สุสานมาพัฒนาเพื่อสาธารณประโยชน์ ลูกหลานที่ทราบข่าวจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาติดต่อกับวัดโดยตรง ทั้งนี้วัดจะดำเนินการให้ฟรีทั้งหมด ทั้งการขุด พิธีกรรมที่ถูกต้องตามความเชื่อของชาวจีน โดยลูกหลานไปดูฤกษ์ขุด หลังจากนั้นวัดจะเก็บกระดูกไว้เป็นอย่างดี เมื่อสร้างกำแพงวัดเสร็จก็จะเจาะช่องบรรจุให้ฟรีทุกราย

           อย่างไรก็ตามเมื่อประเด็นความเชื่อเรื่องไม่สามารถขุดศพบรรพบุรุษขึ้นมาเผาได้นั้นตกไป ดังนั้นจึงนำข้อกฎหมายมาโต้แย้ง เช่น เมื่ออดีตเจ้าอาวาสได้มีการอนุญาตให้ใช้พื้นที่เจ้าอาวาสรูปต่อๆ มา ก็ต้องยอมรับข้อผูกพันเช่นกัน โดยทางวัดให้เป็นเรื่องของกฎหมาย แต่กลับไม่มีใครพูดถึง การหายไปของประธานมูลนิธิที่เคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ไวยาวัจกรวัดพนัญเชิงเป็นประธานมูลนิธิ และมีเจ้าอาวาสเป็นที่ปรึกษา” นอกจากนี้แล้วมีความพยายามต่อสู้ว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ของวัดพนัญเชิง แต่เป็นที่ดินของวัดขอมซึ่งเป็นวัดร้างที่ออกโฉนดทับโดยไม่ถูกต้อง แต่ความจริงเรื่องโฉนดนั้นกรมที่ดินได้ออกมาให้ตั้งแต่ปี ๒๕๐๑ ครอบคลุมพื้นที่วัดขอมทั้งหมด

           “มูลนิธิพยายามที่จะต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อปกป้องสุสานบรรพชน หรือปกปิดอะไรบางอย่างที่คนเป็นทำไว้ไม่ถูกต้อง คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าทำบุญกับมูลนิธิวัดพนัญเชิง เงินก็ต้องเข้าวัดแน่นอน แต่ความจริงแล้วเงินจากมูลนิธิวัดพนัญเชิงไม่เคยเข้าวัดเลยมาเป็นเวลานานแล้ว  มีกรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งหลายท่านอยากให้มีการตรวจสอบเรื่องเงินของมูลนิธิว่ามีอยู่เท่าไร ออกไปอยู่ที่ไหนบ้าง ทั้งนี้เพื่อความโปร่งใสและถูกต้อง ซึ่งจะมีเหลืออยู่เท่าไรวัดไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะเอาเงินมูลนิธิ เพียงอยากนำที่ดินมาใช้เพื่อสาธารณประโยชน์” พระมหาเชิดชัยกล่าว