พระเครื่อง

"เทศนามรณา"     
ของ...พระครูศรีนนทวัฒน์ วัดบางแพรกใต้

"เทศนามรณา" ของ...พระครูศรีนนทวัฒน์ วัดบางแพรกใต้

09 ก.ค. 2552

“....ขอเจริญพร ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านผู้มีกิจที่จะต้องละจากโลกนี้ไปสู่ยังปรโลกเบื้องหน้า ตามกฎสังสารวัฏที่มีการเวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมดา ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนต้องมีวันนี้ด้วยกันทั้งนั้น ต่างแต่ว่า ใครจะถึงวันนี้ก่อนหลังกันเท่านั้น และไม่มีใครที่จะหนี

 ดังจะเห็นว่า ทุกคนที่เกิดมาไม่เหมือนกัน ต่างชั้นต่างวรรณะ ยาก ดี มี จน รูปร่าง นิสัย แม้เกิดมาวันเดียวกันยังไม่เหมือนกัน ทั้งนี้เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ดังที่ท่านผู้รู้กล่าวว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่า และสั่งสมกรรมใหม่ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ว่า บางคนทำแต่ความดี แต่ผลที่ได้รับไม่ค่อยดี จนบางทีกลับท้อถอย โดยคิดว่า ทำดีไม่ได้ดี นั่นเป็นเพราะว่า เขากำลังได้ผลกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้ในกาลก่อนให้ผลอยู่

 ผิดกับบางคน ทำแต่สิ่งที่ไม่ดี แต่กลับได้รับผล คือ ความดี ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะว่าเขากำลังเสวยผลกรรมดีที่เขาทำไว้ในกาลก่อน กำลังให้ผล เมื่อหมดกรรมเก่าที่ให้ผลเมื่อไร จึงจะเห็นกรรมในภพปัจจุบัน

 เมื่อเรามาคิดว่า เรามีกรรมเป็นของตน ย่อมเป็นไปตามกรรมนั้น ดังพระบาลีที่ยกไว้เป็นเบื้องต้นว่า กมฺมุนา วตฺตตี โลโก ซึ่งแปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราจะหนีไม่พ้น ดังที่โยมทุกท่านที่ได้ประสบพบอยู่นี้ จะรู้ตัวดีว่า เรากำลังเสวยกรรมอะไรอยู่ จะทำหรือไม่ทำ จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทำไมต้องมาประสบพบกับสิ่งเหล่านี้ และทำไมถึงต้องมีวันนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมา เพราะว่าเราก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่เราทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นในชาติก่อน หรือว่าชาตินี้ เราต้องชดใช้

 เมื่อท่านทั้งหลายคิดได้อย่างนี้ จึงไม่สมควรที่จะคิดพยาบาทอาฆาตจองเวรกับใคร ควรปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นอโหสิกรรมไป ทุกคนที่ทำกับเราอยู่ขณะนี้ ขอให้คิดว่า เขาทำไปตามหน้าที่ที่เขาได้รับ อย่าพยาบาทอาฆาตจองเวรใครอีก เพราะว่า เมื่อท่านคิดพยาบาท อาฆาตจองเวร จิตใจก็เศร้าหมองไม่ผ่องใส เมื่อจิตใจเศร้าหมอง ขณะละจากโลกนี้ไปสู่ปรโลกเบื้องหน้า

  พระศาสดาท่านตรัสไว้ว่า จะไปสู่ทุคติ คือ กำเนิดในนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย ซึ่งคนไม่ปรารถนาที่จะไปสู่โลกเหล่านี้ ขอให้คิดว่า เรายังดีที่มีโอกาสได้รู้ว่า เราจะตายเมื่อไร ได้มีโอกาสทำทุกสิ่งก่อนที่เราจะตาย ได้ทำบุญกุศล ได้รักษาศีล ได้เจริญภาวนา ได้ทำภารกิจที่ตัวเองคิดว่า จะต้องทำก็ได้ทำเสร็จสิ้นแล้ว ผิดกับตัวอาตมาที่เทศน์อยู่นี้ ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร ไม่มีโอกาสทำสิ่งที่อยากจะทำก่อนตาย

 เมื่อเราคิดได้ว่า ขอให้เราชดใช้กรรมนี้ให้หมด ไม่พยาบาทอาฆาตใคร ทำจิตใจของเราให้สงบ เพราะเรามีเวลาน้อยกว่าคนอื่นอีก ความดีที่เราจะทำได้ คือ ทางใจอย่างเดียว ขอให้ทุกคนจงรักษาไว้ให้ได้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ให้กำหนดเป็นกัมมัฏฐาน ตัดห่วงที่อยู่ในโลกนี้ทิ้ง เพราะเราไม่สามารถจะช่วยเหลือใครได้อีกแล้ว และไม่มีใครที่จะมาช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง ดังพุทธภาษิตที่ว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน

 คนอื่นเราพึ่งใครไม่ได้ พยายามทำตัวเราให้เราพึ่งตัวเองให้ได้ เมื่อเราทำได้ จิตใจก็จะสงบ เมื่อจิตใจสงบระงับจากกิเลสาสวะทั้งหลาย เราละจากโลกนี้ไปในขณะนี้ สุคติเป็นที่หวังในเบื้องหน้า ดังพระบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่หวังได้

 ฉะนั้น เมื่อมาถึงตรงนี้ ขอให้ทุกท่านจงพยายามรักษาสิ่งเดียวที่จะรักษาได้ คือ ใจ ทุกย่างก้าวที่ออกจากนี้ อย่าปราศจากสติสัมปชัญญะ รักษาใจให้สงบระงับ จนกว่าวาระสุดท้ายของเราจะมาถึง ขอให้ทุกท่านทำให้ได้ รักษาใจไว้ให้ดี สุคติจะเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทุกท่านทุกคน เทอญ เทศนาก็อวสานยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้...”

 ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นพระธรรมเทศนาในหัวข้อ “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” แปลว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ที่ พระครูศรีนนทวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ อ.เมือง จ.นนทบุรี ไม่ได้รับกิจนิมนต์ให้ไปเทศน์มานานกว่า ๓ ปีแล้ว ซึ่งท่านก็ยินดี ที่ไม่ได้รับกิจนิมนต์ดังกล่าวด้วย   เพราะทุกครั้งที่ท่านได้รับกิจนิมนต์ หลังใช้เวลาเพียง ๑๕ นาที หลังจากนั้นอีกไม่ถึง ๑๐ นาที จะมีคนตายอย่างน้อย ๑ คน  ซึ่งอาจะพูดได้ว่า เทศนาของพระครูศรีนนทวัฒน์ เป็น เทศนามรณา

  "พระนักเทศน์นักโทษประหาร"  เป็นฉายาหนึ่งเดียวของพระนักเทศน์ ของ พระครูศรีนนทวัฒน์ ด้วยเหตุที่ว่า  ท่านเป็นพระนักเทศน์หนึ่งเดียว ที่มีประสบการณ์เดินเข้าออกคุกบางขวาง นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ปี ๒๕๓๘ และผูกขาดจนถึงปัจจุบัน 

 ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ในหมู่นักโทษของ เรือนจำบางขวาง จนมีคำพูดหนึ่งของนักโทษ มักพูดให้ได้ยินอยู่เสมอๆ ว่า

 "ถ้าผมไม่ติดคุก ผมคงไม่มีโอกาสฟังเทศน์ และปฏิบัติธรรม หากเข้าวัด ฟังเทศน์และปฏิบัติธรรมตั้งแต่อยู่นอกคุก วันนี้คงไม่ต้องมานั่งฟังเทศน์ในคุก"

 จากประโยคคำพูดของนักโทษดังกล่าว พระครูศรีนนทวัฒน์ บอกว่า เมื่อเรามีโอกาสฟังพระเทศน์ ก็จงรีบฟัง  ถ้าตั้งใจฟัง ก็จะเกิดปัญญา หากนำหัวข้อธรรมะไปปฏิบัติ ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง เหมือนได้อยู่เมืองสวรรค์

 ถ้าไม่ฟังเทศน์ นอกจากไม่เกิดปัญญาแล้ว อาจจะนำพาชีวิตไปสู่นรกได้  แต่คนส่วนใหญ่มักอ้างว่า ไม่มีเวลาฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม ซึ่งความจริงแล้ว การฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ไม่จำเป็นต้องมาทำที่วัด  อยู่ที่ไหนเวลาใด ก็ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม และเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ทั้งสิ้น

 แต่คนส่วนใหญ่ ไม่รู้วิธีปฏิบัติธรรม ไม่รู้จักการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงคิดว่า การเข้าถึงธรรมะ เป็นเรื่องยาก

 แม้ว่าทันทีที่ พระครูศรีนนทวัฒน์ เทศน์จบ นักโทษก็ถูกประหารทันที คนจำนวนไม่น้อยคิดว่า มันจะมีประโยชน์อะไร

 แต่ท่านบอกว่า คนที่รู้ตัวว่าจะตายอย่างมีสติ ตายด้วยจิตที่ไม่อาฆาตพยาบาท ดีกว่าคนที่ตายในขณะที่ควบคุมสติไม่ได้ เพราะอย่างน้อย มันก็เป็นการเตือนสติไม่ให้จิตมีความอาฆาตผูกพยาบาท จิตที่สงบก่อนสิ้นลมย่อมพาดวงวิญญาณไปสู่สุคติ

 แต่คนปกติแล้ว คนทั่วๆ จะตายแบบไม่รู้ตัว หรือเรียกว่าตายแบบไม่มีสติ แต่นักโทษประหาร ตายอย่างมีสติ รู้กำหนดลมหายใจจะสิ้นเมื่อไร

 การที่รู้ตัวก่อนตาย ทำให้สามารถเตรียมตัวก่อนตาย  สามารถทำกิจอะไรก่อนตายได้ เขียนจดหมายบอกลา ฝากคำพูด และแบ่งทรัพย์สมบัติได้

 ส่วนคนที่ตายแบบไม่รู้ตัวเลยนั้น ร้อยทั้งร้อย ไม่เคยเตรียมอะไรไว้เลย
 ดังนั้น คนเราจึงควรตั้งชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท เพราะความตายเปรียบเสมือนเงาที่ตามตัวเราตลอดเวลา"

 พร้อมกันนี้ พระครูศรีนนทวัฒน์ พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า นรกสวรรค์บนโลกมนุษย์ มีอยู่จริง ไม่ต้องรอให้ถึงความตายเข้ามาหา

 ที่เห็นเป็นรูปธรรม คือ คุก เป็น นรก  โลกภายนอกคุก เป็น สวรรค์ ซึ่งนับวันนรกจะแคบลงทุกวันๆ จนต้องขยายสาขานรกไปสู่ภูมิภาค

 นั่นหมายถึง คนห่างศีลห่างธรรมมากขึ้น จ้องแต่จะทำกรรมชั่ว เพื่อเดินไปหานรก ทั้งๆ ที่กรรมดีมีให้ทำอยู่มากมาย แต่กลับไม่ทำ

 สำหรับนักโทษประหารแล้วใน ๗ วัน จะมีวันขึ้นสวรรค์อยู่ ๒ วัน คือวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะเขาไม่ประหารกันในวันนี้ ส่วนอีก ๕ วัน เป็นวันที่ตกนรกทั้งเป็น เพราะคำสั่งประหารจะออกมาวันไหน และตกอยู่ที่ใครในจำนวนนักโทษที่รอประอยู่ประมาณ ๑๐๐ คน และนับวันจะเพิ่มขึ้นอีก
 
เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"