พระเครื่อง

พึ่งตนพึ่งธรรม - ’มรกต ปิยะเกศิน’
กับพลังชีวิต ขจัดมะเร็ง

พึ่งตนพึ่งธรรม - ’มรกต ปิยะเกศิน’ กับพลังชีวิต ขจัดมะเร็ง

05 มิ.ย. 2553

ถ้าคุณเป็นมะเร็ง หากไม่จมอยู่กับความทุกข์ ทำใจไม่ได้ ท้อแท้สิ้นหวัง ก็ต้องฮึดสู้ แต่วิธีการสู้ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าง มรกต ปิยะเกศิน อดีตโปรดิวเซอร์รายการทีวี และเจ้าของบริษัทผลิตรายการ แรกๆ เธอท้อแท้สิ้นหวัง ต่อมาฮึดสู้ด้วยการฝึกสมาธิ ชี่กง ปรับเปลี

  แม้ไม่ได้เป็นศิษย์ธรรมกาย ไม่ได้เข้าวัดดังกล่าว แต่เธอเคยฝึกสมาธิรักษาโรคกายเพชรกับ ดร.มโน เมตตานันโท เลาหวาณิช และช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา ใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติปีละ ๑๐ วันเรียนรู้วชิรยานแบบทิเบตกับ 'โซเกียว รินโปเช' โดยเดินทางไปฝึกปฏิบัติที่ศูนย์เลแรบ หลิง ในประเทศฝรั่งเศส (Lerab Ling in France) และศูนย์โดกเชน แบรา ในประเทศไอร์แลนด์ (www.dzogchenbeara.org ) รวมถึงฝึกชี่กง สมาธิแบบเต๋ากับอาจารย์ประเสริฐ จิระพงศาธร ที่เต๋าการ์เด้น ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่

 ย้อนไปเมื่อ ๑๑ ปีที่แล้วมรกตเป็นมะเร็งและรักษาจนหาย แต่เมื่อ ๕ ปีที่แล้วมะเร็งกลับมาอีก ทำให้ความรู้สึกด้านในปั่นป่วน เธอจึงหันมาฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างพลังชีวิตที่มากกว่าคนปกติ แม้ชีวิตตอนนี้จะมีความสุขดี แต่การเรียนรู้สมาธิ ทำให้เธอมองชีวิตได้ลึกซึ้งมากขึ้น

 แค่นั้นยังไม่พอ หากมีเวลาก็จะแบ่งปันสอนคนอื่นๆ อีก ก่อนหน้านี้เธอมีกิจกรรมสอนสมาธิเดือนละครั้งที่ร้านคัทมันดุ วัดแขก ถนนสีลม (www.kathmandu-bkk.com) จะเริ่มสอนอีกครั้งในเดือนสิงหาคมนี้ นอกจากนี้ยังเคยสอนสมาธิให้ผู้ป่วยมะเร็งในโรงพยาบาลจุฬาฯ แต่ระยะหลังมาอยู่ที่สวนในอ.แม่แตง จ. เชียงใหม่ จึงไม่ค่อยมีเวลาสอนสมาธิคนอื่น และในช่วงฤดูหนาวทุกศุกร์-อาทิตย์ จะมีคนกลุ่มเล็กๆ มาปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ ทั้งกายและใจกับครูที่รู้จักคุ้นเคยในสวนของเธอ

 เธอย้อนความว่า ตอนที่มะเร็งกลับมาอีกครั้ง ได้หันมาฝึกสมาธิจริงจัง จนทำให้ความทุกข์ค่อยๆ จางลง เพราะก่อนหน้านี้ได้เรียนรู้ทั้งสมาธิรักษาโรคกายเพชร และสมาธิวัชรยานสายทิเบต เพื่อเรียนรู้การเตรียมตัวตาย

 “จำได้ว่าตอนไปฝึกกับครูบาอาจารย์สายทิเบตที่ศูนย์ในฝรั่งเศส เราไปฝึกเพื่อที่จะเตรียมตัวตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการฝึกที่จะมีชีวิตอยู่แบบดีๆ ก่อนตาย ตอนแรกๆ ก็ฝึกไม่ค่อยได้ ขณะที่พุทธในเมืองไทยฝึกดูลมหายใจ สายทิเบตต้องฝึกสังเกตตัวเองก่อน สมาธิไม่ต้องนั่งหลับตา บางครั้งให้นั่งเฉยๆ บางครั้งฝึกสมาธิแบบสร้างภาพ สายทิเบตจะต่างจากไทย คือจะมีครูบาอาจารย์ และมีบางอย่างเหมือนคริสต์ ถ้าเรามีทุกข์มากๆ แล้วจัดการไม่ได้ พุทธแบบไทยๆ จะบอกให้ปล่อยวาง แต่บางครั้งทำไม่ได้ แต่สายทิเบตให้เอาความศรัทธาไว้กับครู ยกความทุกข์ให้ครู เหมือนคริสต์บอกว่า ให้พระเจ้าดูแลเรา เราไม่ต้องทำเองทุกอย่าง แต่เราต้องเรียนรู้”

 เธอบอกว่า ครูบาอาจารย์สายทิเบตสามารถตอบคำถามให้หายสงสัยได้ มีคำตอบชัดเจน พลังบางอย่างในตัวครูส่งถึงศิษย์ แม้ช่วงแรกๆ ที่ฝึกฝนจะนั่งสมาธิไม่ได้ แต่เมื่อกลับมาเมืองไทยไปตรวจเชื้อมะเร็ง ปรากฏว่า ผลเลือดออกมาดีมาก

 แต่ละปีเธอจึงเดินทางไปเติมพลังและเรียนรู้สมาธิแนววัชรยานสายทิเบตเพื่อเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ณ ศูนย์ปฏิบัติเล็กๆ ที่ไอร์แลนด์ ที่นี่เป็นทั้งสถานที่ฝึกสมาธิ รวมถึงดูแลคนที่เป็นมะเร็งและคนป่วยที่หมดหนทางรักษาสามารถอยู่ได้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

  “น่าสนใจมาก ถ้ามีโอกาสจะกลับไปเป็นอาสาสมัคร เพราะแนวทางวัชรยานสายทิเบตมีความเชื่อว่า เวลาที่คนจะตาย ต้องจากไปแบบดีๆ หลักการสมาธิพุทธไทยและทิเบตไม่ต่างกัน แต่สายทิเบตจะสอนให้นำมาปรับใช้กับชีวิตได้หลากหลาย“ เธอเล่าและคุยถึงการจัดการปัญหาชีวิตว่า ก่อนอื่นจิตต้องเข้มแข็ง เพราะการจัดการปัญหาไม่ใช่แค่ปลงหรือปล่อยวาง

 “ตอนเริ่มเข้ามาฝึกที่ศูนย์ปฏิบัติในไอร์แลนด์ คนที่มาปฏิบัติในช่วงแรกๆ ที่นั่นอนุญาตให้ปรับตัวตามสภาพของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเริ่มฝึกสมาธิทันที“ นั่นเป็นเรื่องราวที่เธอได้เรียนรู้ และนำมาปรับใช้กับชีวิต โดยปัจจุบันเธอพักที่สวน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ มีเวลาฝึกสมาธิและเรียนชี่กงที่เต๋าการ์เด้น ดอยสะเก็ด

 “ถ้าจะฝึกสมาธิให้ได้ผล ร่างกายต้องแข็งแรงก่อน เพราะกายและจิตมีความต่อเนื่องสัมพันธ์กัน ต้องปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ซึ่งต่างจากแนวทางพุทธจะไม่เน้นเรื่องกาย เน้นเรื่องใจอย่างเดียว แต่คนสมัยนี้ไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยพุทธกาล" มรกตกล่าว เพื่อที่จะบอกว่า การฝึกสมาธิในแนวทางที่เธอเรียนรู้ ไม่ใช่แค่การนั่งนิ่งๆ แต่มีการเคลื่อนไหวหลายแบบ บางครั้งอาจมีเพลงหรือการเต้นรำประกอบเพื่อให้จิตสงบ ไม่ต่างจากการฝึกชี่กง เคลื่อนไหวเพื่อดึงพลังเข้ามาในร่างกาย

 "ถ้าเรามีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ การฝึกสมาธิก็จะดี แม้บางคนจะบอกว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง ก็ไม่ควรประมาท เมื่อเป็นมะเร็งแล้ว ต้องดูแลตัวเองและต้องมีพลังชีวิตมากกว่าคนปกติ เพราะคนเป็นมะเร็งมีปมในชีวิตบางอย่าง เราต้องแก้ปมก่อน"

 เธอเล่าถึงความคิดก่อนศึกษาด้านในว่า "เมื่อก่อนคิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ ทำไมเราโชคร้าย ตอนนั้นเรามองชีวิตไม่เป็น พอมะเร็งกลับมาครั้งที่สอง ก็เลยปรับวิธีคิด จากที่เมื่อก่อนไม่พูดกับแม่ เมื่อแก้ปมในใจได้ คุยกับแม่ชีวิตก็ดีขึ้น ซึ่งคนที่เป็นมะเร็งต้องมีโปรแกรมทำลายวิธีคิดแย่ๆ ถ้าภูมิคุ้มกันไม่ทำงานก็จะไม่ดีต่อสุขภาพ ส่วนภูมิแพ้ เราก็เคยเป็น เพราะมีความกลัวอะไรบางอย่าง ถ้าแก้ความกลัวตรงนั้นได้ ภูมิแพ้ก็หาย”

 มรกตยอมรับว่า เมื่อแก้ไขความคิดบางอย่าง อาการป่วยก็ค่อยๆ ดีขึ้น หลังจากหันมาฝึกฝนตัวเอง เธอมีเป้าหมายหลักคือ ไม่อยากให้มะเร็งกลับมาอีก

 “การฝึกฝนในลักษณะนี้ทำให้เข้าใจคำว่าปัญญา เมื่อทำแล้วได้ผล สุขภาพดีขึ้น และทำให้มะเร็งไม่กลับมา ยิ่งฝึกยิ่งน่าสนใจ ทำให้เห็นความสัมพันธ์ของจิตกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสติ ส่วนการสอนสมาธิมีทั้งในห้องเรียนและสอนแบบตัวต่อตัว ก็จะดูความเหมาะสม อย่างการสอนสมาธิที่ได้ผลต้องตัวต่อตัวดูจริตว่าเหมาะกับแบบไหน" เธอเล่าถึงการสอนสมาธิที่ผ่านมา แต่ช่วงนี้หันมาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนตัวเองมากกว่า

"เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ"