
จบโทจากอเมริกาหันมาสู่วงการพระกุ่ย ท่าพระจันทร์ (สุรินทร์ เรืองสุรัตน์)
วงการพระเครื่องทุกวันนี้ เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ได้มีคนหนุ่มสาวสมัยใหม่หันมาสนใจการสะสมพระเครื่องกันมากขึ้น โดยได้ขยายแวดวงออกไปอย่างกว้างขวางกว่าแต่ก่อนมาก จนบางคนถึงกับทิ้งอาชีพเดิม แล้วก้าวเข้ามาสู่สนามพระอย่างเต็มตัว
เปิดการซื้อขายพระเครื่องทุกประเภทอย่างมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านพระตามสนามพระต่างๆ และการซื้อขายทางสื่อออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ตไปทั่วโลก
หนึ่งในกลุ่มคนดังกล่าว คือ กุ่ย ท่าพระจันทร์ เจ้าของชื่อจริง สุรินทร์ เรืองสุรัตน์ อายุ ๔๐ ปี ผู้ได้รับการดูพระมาจากคุณพ่อ บิ ท่าพระจันทร์ เซียนพระรุ่นเก่า ที่วงการพระรู้จักกันดีมานานปี
กุ่ย ท่าพระจันทร์ (สุรินทร์ เรืองสุรัตน์) เป็นชาวคลองสาน วงเวียนเล็ก ธนบุรี โดยกำเนิด สมัยเด็กเรียนหนังสือในโรงเรียนใกล้บ้าน ต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จบแล้วสอบคัดเลือกได้ที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อปริญญาโท เอ็มบีเอ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะเดียวกันได้งานทำที่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) แล้วลาไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาการจัดการอุตสาหกรรม ที่มหาวิทยาลัยเซ็นทรัลมิสซูรี สหรัฐอเมริกา กลับมาทำงานที่ปูนซิเมนต์ไทยอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนลาออกมาช่วยงานคุณพ่อที่ร้านพระ บิ ท่าพระจันทร์ (วัฒนชัย เรืองสุรัตน์) เมื่อปี ๒๕๔๓ เนื่องจากช่วงนั้นคุณพ่อป่วย จึงอยากให้คุณพ่อได้พักผ่อนมากๆ และเมื่อคุณพ่อได้ถึงแก่กรรม เมื่อปี ๒๕๕๑ กุ่ย ก็ได้ดำเนินการธุรกิจร้านพระของคุณพ่อมาจนถึงทุกวันนี้
บนเส้นทางสายพระเครื่อง กุ่ย เล่าย้อนอดีตของตัวเองว่า "สมัยเด็กๆ ผมก็ได้เห็นคุณพ่อซื้อขายพระอยู่แล้ว เรียกได้ว่า ครอบครัวของผมเติบโตขึ้นมาได้ก็ด้วยอาชีพนี้ ในบางครั้งผมก็ได้หยิบหนังสือตำราพระของคุณพ่อมาอ่าน เช่น หนังสือตำราพระของ อ.ประชุม กาญจนวัฒน์ จนผมจดจำพิมพ์พระ ชื่อพระได้พอสมควร เมื่อโตขึ้นคุณพ่อก็มักจะหยิบองค์พระจริงมาให้ผมหัดส่องดู พร้อมกับบอกว่าให้จดจำพิมพ์ทรงองค์พระและเนื้อหามวลสารให้ดี จะได้ดูพระเป็น ทำให้ได้ซึมซับความรู้การดูพระขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงที่ผมเรียนเอ็มบีเอที่ธรรมศาสตร์ ก่อนเข้าเรียน หรือพักเที่ยง และตอนเลิกเรียน ผมจะต้องมาที่ร้านพระของคุณพ่อที่สนามพระท่าพระจันทร์เป็นประจำ คุณพ่อก็จะหยิบพระให้ผมศึกษาตลอดเวลา โดยเฉพาะพระที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ เช่น พระสมเด็จ วัดระฆัง / บางขุนพรหม รวมทั้งพระหลักยอดนิยมต่างๆ ก่อนจะขายออกไป โดยคุณพ่อจะไม่สอนอย่างละเอียดทุกซอกมุม เพียงแต่บอกคร่าวๆ แล้วกำชับให้ผมจดจำพิมพ์ทรงองค์พระและเนื้อหามวลสารเอาเอง จนทำให้ผมดูพระเหล่านี้ได้ดีในระดับหนึ่ง บางครั้งคุณพ่อจะเอาพระที่ไม่ได้เล่นหากันมาทดสอบสายตาผม ก็สามารถสอบผ่านได้บ่อยๆ หากผิดพลาดดูพระเก๊เป็นพระแท้ คุณพ่อก็จะสอนให้ว่า ต้องดูตรงนั้นตรงนี้ ตรงนี้ทำให้ผมต้องเกิดความระวังตัวมากขึ้น ต้องดูอย่างละเอียดยิ่งขึ้น เป็นการเพาะนิสัยการดูพระว่า ต้องรอบคอบให้มากๆ อย่าใจร้อน อย่าประมาทเป็นอันขาด เพราะหากพลาดจะต้องสูญเสียเงินทอง ผมก็ได้นิสัยการดูพระมาจากคุณพ่อเต็มๆ"
นอกจากได้ศึกษาพระชุดเบญจภาคี พระผงยอดนิยม พระเนื้อดินยอดนิยม มาจากคุณพ่อโดยตรงแล้ว กุ่ย บอกว่า ตัวเองรู้สึกชื่นชอบ พระกริ่งและพระรูปหล่อโบราณต่างๆ มากกว่า จึงได้หันมาศึกษาพระประเภทนี้ โดยได้รับความเมตตาจาก เล็ก รูปหล่อ และ โก๋ วัดราช ผู้ชำนาญพระสายพระกริ่งและรูปหล่อโบราณโดยเฉพาะ อาศัยที่เป็นลูกชายของ บิ ท่าพระจันทร์ ซึ่งเป็นเพื่อนกันกับบรรดาเซียนพระทุกคนในสนามพระท่าพระจันทร์ ทำให้ กุ่ย ได้รับความเมตตาไว้วางใจจากผู้ใหญ่ทุกคน เอาพระแท้องค์จริงให้ศึกษาอย่างเต็มที่ พร้อมกับชี้แนะต่างๆ ละเอียดที่สุด ตรงนี้ทำให้ กุ่ย ได้รับความรู้ด้านนี้อย่างจริงจัง จนรู้สึกรักชอบพระสายนี้มาก ส่งผลให้ดูพระสายนี้ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าสามารถซื้อขายได้ด้วยสายตาตัวเอง
ขณะเดียวกัน กุ่ย ยังได้รับความเมตตาจากบรรดาเซียนพระผู้ใหญ่ในสนามพระท่าพระจันทร์หลายท่าน ซึ่งล้วนเป็นผู้มีคุณธรรม และมีความรู้ความสามารถในการดูพระได้อย่างหลากหลาย คอยให้คำแนะนำ ยามเมื่อมีปัญหาข้อสงสัยในการดูพระบางองค์
"การเรียนรู้วิธีดูพระของผม อาจจะได้เปรียบกว่าคนอื่น ตรงที่ผมเติบโตมาในสนามพระท่าพระจันทร์ ได้รู้จักกับเซียนพระชื่อดังของวงการนี้ ที่ทุกท่านผมเคารพนับถือเหมือนญาติผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อได้สั่งสอนผมเสมอว่า เราเป็นเด็กรุ่นลูกรุ่นหลาน ต้องรู้จักสัมมาคารวะผู้ใหญ่ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ จะได้รับความรักความเมตตาจากผู้ใหญ่ทุกท่าน ด้วยเหตุนี้ การเรียนรู้เรื่องพระของผมจึงได้เริ่มจากพระหลักยอดนิยม ลงมาหาพระทั่วไป ผิดกับคนอื่นที่ต้องดูพระพื้นพระทั่วๆ ไปก่อนจะก้าวขึ้นไปสู่พระหลัก ทั้งนี้ก็ด้วยความเมตตาของเซียนพระผู้ใหญ่ทุกๆ ท่าน ที่ผมดูพระได้ในวันนี้ก็เพราะท่านเหล่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่ผมต้องจดจำในพระคุณไปตลอดชีวิต" กุ่ย กล่าวในตอนหนึ่ง
ในการศึกษาพิจารณาองค์พระ ว่าเป็นพระแท้หรือพระปลอม กุ่ย บอกว่า ได้ยึดหลักสากลของคนในวงการพระทั่วๆ ไป คือ ต้องพิจารณาจากพิมพ์ทรงองค์พระก่อน แล้วจึงดูเนื้อหามวลสาร จากนั้นก็ดูความเก่า และธรรมชาติ รวมทั้งรอยตัดขอบ หรือรอยตะไบถ้าเป็นพระเนื้อโลหะ หากทุกอย่างไม่ผิดไปจากพระองค์ครูที่ได้ศึกษามาก่อน ก็แน่ใจได้เลยว่าเป็นพระแท้ แต่หากผิดเพี้ยนไปจากนี้ก็ต้องหาจุดศึกษาอื่นๆ ต่อไปอย่างละเอียด รอบคอบ และไม่ประมาท ตามที่คุณพ่อได้สอนไว้
กุ่ย กล่าวถึงการดูพระกริ่งหรือพระรูปหล่อรุ่นเก่าว่า "พระกริ่งหรือพระหล่อแบบโบราณของแต่ละสำนัก แต่ละพื้นที่ แต่ละยุคสมัย ย่อมแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกันทุกแห่ง อย่างเช่น พระกริ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศนฯ แต่ละองค์มีอายุกว่า ๕๐ ปี หากมาหล่อสร้างขึ้นในสมัยนี้ ต้องใช้เนื้อโลหะใหม่ ก็แยกได้ออกทันทีว่าเป็นพระที่สร้างขึ้นทีหลัง หรืออย่างพระเนื้อดินของแต่ละเมือง เนื้อพระย่อมไม่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องดูพระแท้องค์จริง ผ่านสายตามามากๆ สะสมประสบการณ์เอาไว้มาก จะทำให้พิจารณาพระแท้พระปลอมได้ง่ายขึ้น"
ทุกวันนี้...กุ่ย ท่าพระจันทร์ (สุรินทร์ เรืองสุรัตน์) ยังคงดำเนินธุรกิจซื้อขายพระสืบทอดจากคุณพ่ออยู่ที่ร้าน บิ ท่าพระจันทร์ ในสนามพระท่าพระจันทร์ โดยมีญาติผู้ใหญ่ ๒ ท่าน คือคุณอาและคุณน้าแท้ๆ ของตัวเอง คอยให้การสนับสนุนอยู่เคียงข้าง โดยการซื้อขายพระที่ยืนอยู่บนหลักการของความเที่ยงแท้ในองค์พระ และความยุติธรรมในเรื่องราคา หากมีปัญหายินดีรับคืนเสมอ แต่เท่าที่ผ่านมา ผู้ที่ซื้อพระไปจากที่นี่ ยังไม่เคยมีใครเอาพระมาคืนเลย มีแต่จะมาขอซื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า ทั้งนี้ก็ด้วยความมีมิตรไมตรี มีน้ำใจ มีมารยาท มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะของ กุ่ย ที่ได้สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้ามาโดยตลอด ติดต่อสอบถามได้ที่โทร.๐๘-๑๖๙๔-๕๓๐๐, ๐๘-๑๖๔๒-๗๒๒๖ หรือที่ www.thaprachan.com
0 ตาล ตันหยง 0