
พึ่งตนพึ่งธรรม - รักแท้ คือ แสวงหาโมกขธรรม พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
โดยธรรมชาติแล้วคนเราจะดิ้นรน แสวงหาทางพ้นทุกข์ ก็ต่อเมื่อเจอคลื่นทุกข์ถาโถมเข้าใส่ ยิ่งเป็นคลื่นใหญ่ราวสึนามิแห่งความทุกข์ระทม ก็จะยิ่งรีบเร่งค้นหาทางพ้นทุกข์กันเร็วขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับปริศนาธรรม ที่ท่านอาจารย์พุทธทาส ฝากไว้ว่า ... หาสุขได้จากทุกข์
น้อยคนนักในโลกสับสนใบนี้จะมีคนที่อยู่ดีมีสุขสมบูรณ์ แต่กลับอนาทรร้อนใจ ฉุกคิดที่จะแสวงหาความพ้นทุกข์ หนึ่งในนั้นก็คือ มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนาม “เจ้าชายสิทธัตถะ” นั่นเอง พระองค์ทรงครุ่นคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ อายุราว ๒๐ กว่าเท่านั้น ซึ่งเป็นวัยที่ควรจะเสพสุขอย่างเต็มที่ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุขสำราญ กับการสนองกามตัณหาได้อย่างเต็มสูบ ตามที่ถูกจัดสรรให้โดยพระบิดาของพระองค์เอง แต่จิตใจของเจ้าชายสิทธัตถะ กลับมีความคิดไปอีกด้านหนึ่ง ทรงพิจารณาอยู่ในพระทัยลึกๆ ว่า กามสุขแบบนี้... มันไม่ใช่! คือ มันยังไม่ใช่ของที่สุขจริง สุขเที่ยงแท้ถาวร
กระทั่งในราตรีหนึ่ง พระองค์ตัดสินพระทัย แอบเสด็จหนีออกจากวังเพื่อเยือนชาวบ้านรอบวังแบบ Reality show กับบ่าวผู้สนิท (นายฉันนะ) และได้เห็นสภาพความเป็นอยู่อันยากลำบากจริงๆ ของชีวิตมนุษย์ที่มิได้ถูกจัดฉากไว้อย่างสวยงามโดยพระราชบิดาดั่งทุกครั้งที่เคยออกเสด็จเยี่ยมชม
สัจธรรมที่ทรงเห็นประจักษ์แจ้งด้วยตัวพระองค์เองในครั้งนี้ (ธรรมทูตทั้ง ๔) อันมี คนแก่-คนเจ็บ- คนตาย และสมณะผู้สำรวม กระตุกปัญญาญาณ สร้างแรงบันดาลใจอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการตั้งคำถามกับตัวพระองค์เองว่า...เราจักต้องแก่ หนังเหี่ยวย่น หลังค่อม เดินเหินเชื่องช้า อย่างไร้เรี่ยวแรง เช่นนี้หรือ?
เราจักต้องเจ็บป่วย ด้วยโรคร้ายแรง ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส เช่นนี้หรือ
เราจักต้องนอนตาย กลายเป็นท่อนไม้ อันเขาหามไปเผาทิ้ง ก็ยังนิ่งเฉย ไร้ความรู้สึก เช่นนี้หรือ
เหตุใด สมณะผู้นั้น จึงสงบเย็น อย่างน่าทึ่งจัง?
ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นจากความเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย และล่วงพ้นความทุกข์เหล่านั้นได้?
พลังแห่งการแสวงหาแห่งสัจธรรม (Discovery for Truth) แห่งการพ้นทุกข์ของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นแรงกล้าจริงๆ แม้ด้วยวัยเพียง ๒๙ ปี ของเจ้าชายหนุ่มที่เพิ่งจะเห็นหน้าลูกชายแรกเกิดได้ไม่ทันจะเต็มวัน พระองค์ก็ทำการตัดสินพระทัยอย่างกล้าหาญ หลังจากทอดพระเนตร มองหน้าลูกชายและภรรยาอย่างอาลัยอยู่สักพักหนึ่ง พระองค์จึงสามารถหันพระพักตร์ สลัดจากครอบครัวมาได้ อย่างไม่เหลียวหลังกลับไปดูอีกเลย
เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเข้าป่า อาศัยความวิเวกแห่งป่าเขาตามธรรมชาติ เป็นเครื่องอำนวยต่อการแสวงหาหนทางดับทุกข์ และใช้เวลา ๖ ปี ในการลองผิดลองถูกสารพัด จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดก็มี แต่สุดท้ายพระองค์ก็ทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อคืนวันเพ็ญวิสาขมาส ๔๕ ปีก่อนพุทธศักราช หรือราว ๒,๖๐๐ ปี ล่วงมาแล้ว
มาบัดนี้ พ.ศ. ๒๕๕๔ วิสาขบูชา เวียนมาบรรจบ พวกเราชาวพุทธ หรือชาวโลกก็ดี ควรระลึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระรัตนตรัย ที่ทำให้เรายังได้รับรู้ถึง “วีถีแห่งการพ้นทุกข์” หรือ “หนทางแห่งการพ้นจากเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย” ได้ หาไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็ยังคงมืดมน จมอยู่กับกองทุกข์ ว่ายวนเวียนอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งวัฏสงสาร หรือไม่ก็ยังหลงมัวเมาอยู่กับความสุขจอมปลอม ซึ่งแท้ที่จริงสุขนั้นก็คือทุกข์จางๆ หาได้มีสุขแท้ไม่ นอกเสียจากจะเดินตามรอยมรรคแห่งพระพุทธองค์เท่านั้น
ผู้เขียนจึงขอโอกาสเชิญชวนให้พวกเราทุกคน ร่วมใจกันแสดงมุทิตาจิต ร่วมสมโภชพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (Buddha Jayanti 2,600 years of the Buddha’s Enlightenment) ด้วยการปฏิบัติบูชา เจริญสติ สมาธิ ปัญญากันทุกวัน ทุกเวลา ทุกขณะ แม้ว่าวันวิสาขบูชาจะล่วงเลยไปแล้ว แต่วันแห่งการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หรือวันแห่งพุทธะที่จะเกิดในจิตเรามีได้ทุกเวลาที่เรามีสติ
หากเราหมั่นเพียรปฏิบัติอยู่เนืองๆ ไม่ย่อหย่อน ไม่ลังเลสงสัย ธรรมะจักคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมอย่างแน่นอน ...
"พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา"