ไฟเขียวแล้ว "Moderna" โดสกระตุ้น สหรัฐฯ ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ที่ขนาด 50 ไมโครกรัม
องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา อนุญาตการใช้วัคซีน COVID-19 "Moderna" เป็นเข็มกระตุ้นในประเทศ ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ตามหลังจากการได้รับวัคซีนหลักชนิดอื่น ๆ ที่ได้รับการอนุมัติหรืออนุญาตให้ใช้ ที่ขนาด 50 ไมโครกรัม
ล่าสุด "Moderna" บริษัท โมเดอร์นา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพผู้บุกเบิกแนวทางการรักษา และการพัฒนาวัคซีนโดยการใช้เทคโนโลยี messenger RNA (mRNA) ประกาศในวันนี้ (20 ตุลาคม 2564) ว่า สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้มีการอนุญาตสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน (EUA) ของวัคซีน COVID-19 ของ Moderna (mRNA-1273) เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น ในขนาด 50 ไมโครกรัม
สําหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป , ผู้ที่มีอายุ 18 ถึง 64 ปี ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค COVID-19 ที่มีอาการรุนแรง และผู้ที่มีอายุ 18 ถึง 64 ปี ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับสัมผัสกับเชื้อ SARS-CoV2 จากอาชีพหรือสถานที่
วัคซีนเข็มกระตุ้นจะถูกให้ได้ภายหลังจากการได้รับการฉีดวัคซีนชุดหลักไปแล้วอย่างน้อย 6 เดือน นอกจากนี้ องค์การอาหารและยายังได้อนุญาตให้มีการใช้วัคซีน COVID-19 ของ Moderna ที่เป็นสูตรเข็มกระตุ้นแบบครั้งเดียวนี้ (single booster dose , 50 ไมโครกรัม) สําหรับผู้ที่ทําการฉีดวัคซีนหลักด้วยวัคซีน COVID-19 ชนิดอื่น ๆ ที่ได้รับการอนุมัติหรืออนุญาตให้ใช้
Stéphane Bancel Chief Executive Officer ของบริษัท โมเดอร์นา กล่าวว่า "การอนุญาตการใช้ในกรณีฉุกเฉินนี้มีหลักฐานสนับสนุนทางคลินิกที่มีความน่าเชื่อถืออย่างมากว่า เข็มกระตุ้นที่ขนาด 50 ไมโครกรัมนี้ กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ดีมากต่อเชื้อ COVID-19 ทางบริษัทต้องขอขอบคุณ องค์การอาหารและยาที่ได้ทำการพิจารณาตรวจสอบและการนำมาซึ่งการอนุญาตการให้ในกรณีฉุกเฉินของวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้ ซึ่งได้มีการครอบคลุมถึงผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนหลักด้วยวัคซีน COVID-19 ชนิดอื่นที่แตกต่างกันด้วย"
"เราเชื่อว่าวัคซีน mRNA มีความปัจเจกด้วยคุณสมบัติที่ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อตอบรับกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อ SARS-CoV2 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทางเรารู้สึกดีใจเพราะการอนุมัติครั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลได้รับการป้องกันเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง"
สำหรับการอนุญาตการใช้ในกรณีฉุกเฉินของ Moderna เข็มกระตุ้น ครั้งนี้ ทางองค์การอาหารและยา ได้ทำการพิจารณาจากข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่นำเสนอจากทางบริษัท และมีการตรวจสอบโดยคณะกรรมการที่ปรึกษาวัคซีนและผลิตภัณฑ์ชีวภาพของ FDA (VRBPAC) โดยข้อมูลส่วนหนึ่งที่ใช้ในการพิจารณานั้น ได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิกระยะที่ 2 ของวัคซีน mRNA-1273 ซึ่งได้รับการแก้ไขเพื่อเสนอปริมาณเข็มกระตุ้นของ mRNA-1273 ที่ขนาด 50 ไมโครกรัม ให้กับอาสาสมัครผู้เข้าร่วมหลังจากที่ได้รับวัคซีน mRNA-1273 เข็มที่สองผ่านไปแล้ว 6 - 8 เดือน (จำนวนอาสาสมัครเข้าร่วมจำนวน 344 ราย)
โดยพบว่า ก่อนการได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หลังจากกลุ่มอาสาสมัครได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ผ่านไปแล้วประมาณ 6 เดือน ปริมาณภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อ (Neutralizing antibody) มีการลดระดับลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อในกลุ่ม Variant of Concerns (VOCs) จากผลการศึกษาพบว่า วัคซีน mRNA-1273 เข็มกระตุ้นที่ขนาด 50 ไมโครกรัม มีความสามารถในการเพิ่มปริมาณของภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อ เหนือเกณฑ์มาตรฐานที่เป็นผลจากการศึกษาประสิทธิภาพทางคลินิกระยะที่ 3 ของวัคซีนเข็มหลักอย่างมีนัยสําคัญ
ภายหลังจากที่กลุ่มอาสาสมัครได้รับวัคซีน "Moderna" เข็มกระตุ้น พบว่า ระดับของภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อมีการเพิ่มสูงขึ้นในผู้เข้าร่วมวิจัยทุกกลุ่มอายุรวมทั้งในผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) ในแง่ข้อมูลรายละเอียดความปลอดภัยหลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นไปนั้น พบว่า มีความคล้ายคลึงกับรายงานที่มีมาก่อนหน้านี้ที่พบได้หลังจากที่ได้วัคซีน mRNA-1273 เข็มที่ 2 จึงเป็นที่มาของการลงคะแนนเสียงในเชิงบวกแบบเป็นเอกฉันท์จากสมาชิก VRBPAC ทั้ง 19 คน ที่เสนอให้มีการอนุญาตการใช้วัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นกรณีฉุกเฉิน
โดยในขั้นตอนต่อไป ทางคณะกรรมการที่ปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติด้านการฉีดวัคซีน (ACIP) ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention , CDC) จะมีการประชุมเพื่อหารือถึงข้อสรุปเกี่ยวกับคําแนะนําหรือแนวทางสําหรับการใช้งานเมื่อการฉีดเข็มกระตุ้นของวัคซีน COVID-19 จะเริ่มต้นขึ้นในประชาชนชาวอเมริกัน (ในเร็ว ๆ นี้)
ที่มา: https://investors.modernatx.com/node/13086/pdf : คลิกที่นี่
ข้อมูล ณ 21 ตุลาคม 2564 : ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์