"โอไมครอน" พาไทยเข้าสู่ Wave 4 ตั้งแต่ 29 ธ.ค.64 จ่อเป็นสายพันธุ์หลักเร็ว ๆ นี้
เจ็บแต่จบมั้ย ยอดพุ่ง ตายลด "โอไมครอน" พาไทยเข้าสู่ Wave 4 ตั้งแต่ 29 ธ.ค.2564 จ่อเป็นสายพันธุ์หลักกินเดลตาเร็ว ๆ นี้
(5 ม.ค.2565) นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความให้ความรู้เรื่อง COVID-19 ระบุว่า "โควิด" ไทย เข้าสู่ระลอกใหม่ หรือระลอกที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.2564 ภายใต้การนำของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ "โอไมครอน" หรือ "โอมิครอน" (Omicron) โดยประเทศไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดของโควิดระลอกที่ 3 (ซึ่งบางท่านเรียกว่าเป็นระลอกที่ 4 เพราะไปแบ่งระหว่างอัลฟ่ากับเดลตา ซึ่งอยู่ในระลอกเดียวกัน) ไปแล้ว เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อลงมาต่ำสุดในระลอกที่ 3 ที่จำนวน 2,305 ราย และเมื่อผ่านเข้าสู่ปีใหม่ 2565 ก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ทยอยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และมีสัดส่วนของไวรัส "Omicron" เพิ่มเป็นลำดับด้วย
นอกจากนั้น ในผู้ติดเชื้อไวรัส "Omicron" พบสัดส่วนของผู้ติดกันเองภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และกำลังจะแซงไวรัส "Delta" กลายเป็นสายพันธุ์หลักในอนาคตอันใกล้นี้ ส่งผลให้ในวันนี้ 5 มกราคม 2565 พบผู้ติดเชื้อใหม่ 3,899 ราย เพิ่มจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 ที่จำนวน 2,305 ราย เพิ่มขึ้นคิดเป็น 69% ผู้ติดเชื้อเข้าข่ายจากการตรวจด้วยชุดทดสอบที่บ้าน หรือ ATK ก็เพิ่มขึ้นเป็น 3,555 ราย จากจุดต่ำสุด 390 ราย เพิ่มขึ้น 9 เท่าตัว และผู้ติดโควิดจากต่างประเทศ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 169 ราย จากที่เคยติด 54 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว แต่จำนวนผู้เสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้น หากแต่ลดลงจาก 32 ราย เหลือ 19 ราย คิดเป็นลดลง 40%
ในเบื้องต้น ณ ปัจจุบันจึงพอกล่าวได้ว่า
- ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดของโควิดระลอกที่ 3 ไปแล้ว เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ 2,305 ราย
- จุดต่ำสุดของผู้เสียชีวิต น่าจะอยู่ที่กลางเดือนมกราคม 2565 คือหลังติดเชื้อประมาณ 10-14 วัน
- จุดต่ำสุดของผู้เสียชีวิต อาจเลยกลางเดือนมกราคม 2565 และอาจมีจำนวนผู้เสียชีวิตต่ำลงไปกว่านี้ได้ ถ้าไวรัส "Omicron" มีความรุนแรงน้อยกว่าเดลตาเป็นอย่างมาก
- ต้องถือว่าไทยได้เข้าสู่โควิดระลอกใหม่ หรือระลอกที่ 4 แล้วในเดือนมกราคม 2565
ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน และมีผู้ตรวจ ATK เป็นบวกที่มากขึ้นด้วย เนื่องจากส่วนใหญ่จะติดเชื้อแบบไม่ค่อยมีอาการ คาดว่าผู้เสียชีวิต เมื่อคิดเป็นร้อยละในระลอกที่ 4 จะต่ำกว่าการติดเชื้อในระลอกที่ 3
สรุป : การระบาดของระลอกต่าง ๆ ที่ผ่านมาของประเทศไทย ประกอบด้วย
- ระลอกที่ 1 (Wave 1) ช่วงมกราคม -พฤษภาคม 2563 ด้วยไวรัส "สายพันธุ์อู่ฮั่น" ดำเนินการด้วยมาตรการเข้มงวดมาก ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพียง 4,000 ราย เสียชีวิต 60 ราย
- ระลอกที่ 2 (Wave 2) ช่วงธันวาคม 2563 - มีนาคม 2564 ด้วยไวรัสสายพันธุ์ "อู่ฮั่น" แต่ใช้มาตรการที่ผ่อนคลายไม่ได้เข้มเท่าระลอกที่ 1 จึงมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเป็น 24,863 ราย แต่เสียชีวิตเพียง 34 ราย
- ระลอกที่ 3 ช่วงเมษายน-ธันวาคม 2564 เริ่มต้นด้วย "สายพันธุ์อัลฟ่า" ในเดือนเมษายน และเปลี่ยนเป็น "สายพันธุ์เดลตา" ในเดือนมิถุนายน
ทำให้บางท่านเรียกแยกเป็นระลอกที่ 3 และระลอกที่ 4 แต่เมื่อดูจากจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อจากไวรัสอัลฟ่าต่อด้วย "เดลตา" ไม่มีลักษณะการแยกระลอกที่ชัดเจน ในที่นี้จึงขอเรียกเป็นระลอกเดียวกัน คือ ระลอกที่ 3 มีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 2,185,849 ราย เสียชีวิต 21,536 ราย ด้วยมาตรการผ่อนสั้นผ่อนยาว และค่อยทยอยเข้มเป็นลำดับ โดยได้ออกมาตรการ คือ
- 28 มิ.ย-11ก.ค.2564 Partial Lockdown
- 12-25 ก.ค.2564 Semi-lockdown
- 20 ก.ค-16 ส.ค.2564 Strict Lockdown
เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น จึงมีมาตรการผ่อนคลาย โดยมีการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ 8,165 ราย เสียชีวิต 55 ราย
หนึ่งเดือนผ่านไป 1 ธันวาคม 2564
ผู้ติดเชื้อ 4,886 ราย เสียชีวิต 43 ราย
จุดต่ำสุด 28 ธันวาคม 2564
ติดเชื้อ 2,305 ราย เสียชีวิต 32 ราย
5 มกราคม 2565 ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 3,899 ราย แต่ผู้เสียชีวิตยังคงเดินหน้าลดลงเหลือ 19 ราย
กล่าวโดยสรุปแล้ว ประเทศไทยได้เข้าสู่โควิดระลอกใหม่ หรือเวฟใหม่ ที่เรียกว่าระลอกที่ 4 ภายใต้การนำของไวรัส "Omicron" ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป ส่วนจะกินระยะเวลายาวนานแค่ไหน จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตเท่าไร คงจะต้องติดตามกันต่อไป