โควิด-19

ภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อ "โควิด" เหนือกว่าฉีดวัคซีน เสี่ยงป่วยลด

ภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อ "โควิด" เหนือกว่าฉีดวัคซีน เสี่ยงป่วยลด

31 ม.ค. 2565

หรือต้องทบทวน "วัคซีนเข็มกระตุ้น" CDC สหรัฐฯ เผยผลวิจัยพบ ภูมิคุ้มกันธรรมชาติ จากการติดเชื้อ "โควิด" เหนือกว่าภูมิจากการฉีดวัคซีน เสี่ยงป่วยลดถึง 55.3 เท่า

อัปเดตสถานการณ์ การแพร่ระบาดของ "โควิด" สายพันธุ์ "โอไมครอน" หรือ "โอมิครอน" ที่เข้าได้มาแทนที่สายพันธุ์เดลตา รวมทั้งการระดม "ฉีดวัคซีน" เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์ข้อความ อ้างอิงผลการวิจัยของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) สหรัฐอเมริกา ซึ่งออกมายอมรับว่า "ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ" (natural immunity) ที่ได้จากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เหนือกว่าภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากวัคซีน ดังนั้น ยังจำเป็นต้องให้ "วัคซีนเข็มกระตุ้น" แก่ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่

 

ข้อมูลจาก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) สหรัฐอเมริกา ซึ่งศึกษาในอาสาสมัคร 1.1 ล้านคน จากแคลิฟอร์เนีย 752,781 คน และนิวยอร์ก 355,819 คน ที่เผยแพร่ในวันที่ 28 มกราคม 2022 อาจทำให้ทั่วโลกต้องกลับมาพิจารณานโยบายการฉีด "วัคซีนเข็มกระตุ้น" (booster shot) ครั้งใหม่หรือไม่ 

ข้อมูลจาก US CDC โดยสรุป

 

1. หากใช้ผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีนเป็นฐาน (reference) ในการเปรียบเทียบ 

  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วย ลดลง 6.2 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 4.5  เท่า (นิวยอร์ก)
  • พบว่าผู้ไม่เคยได้รับวัคซีนแต่เคยติดเชื้อตามธรรมชาติจะมีความเสี่ยงที่ต้องเจ็บป่วยลดลง 29 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 14.7  เท่า (นิวยอร์ก)
  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนและเคยติดเชื้อตามธรรมชาติจะมีความเสี่ยงที่ต้องเจ็บป่วยลดลงถึง 32.5 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 19.8  เท่า (นิวยอร์ก)

2. หากใช้ผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีน และเคยติดเชื้อมาก่อนเป็นฐาน (reference) ในการเปรียบเทียบ 

  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วย เพิ่มขึ้น 3.1 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 1.9  เท่า (นิวยอร์ก)

3. หากใช้ผู้ที่ฉีดวัคซีนและเคยติดเชื้อมาก่อนเป็นฐาน (reference) ในการเปรียบเทียบ 

  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยเพิ่มขึ้น 3.6 เท่า (แคลิฟอร์เนีย) และ 2.8  เท่า (นิวยอร์ก)

4. การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จากข้อมูลเฉพาะในแคลิฟอร์เนีย โดยใช้ผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีนเป็นฐาน (reference) ในการเปรียบเทียบ 

  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลลดลง 19.8 เท่า 
  • พบว่าผู้ไม่เคยได้รับวัคซีนแต่เคยติดเชื้อตามธรรมชาติจะมีความเสี่ยงที่ต้องเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลลดลง 55.3 เท่า 
  • พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนและเคยติดเชื้อตามธรรมชาติจะมีความเสี่ยงที่ต้องเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลลดลงถึง 57.5 เท่า

ศูนย์จีโนมฯ ระบุว่า การฉีดวัคซีนครบโดส หรือ 2 เข็ม มีความจำเป็นยิ่งยวด ลดการเจ็บป่วย ลดการตาย ลดการกลายพันธุ์ ประชากรในโลกทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยร้อยละ 70 ตามเข็มมุ่งขององค์การอนามัยโลกวัคซีนเข็มกระตุ้นควรให้ทุกคนถ้วนหน้า (one size fits all) หรือเลือกให้เฉพาะผู้ที่จะได้ประโยชน์ (Precision medicine)??

 

"วัคซีนเข็มกระตุ้น" ทั่วโลก มีนโยบายฉีดให้กับทุกคนเหมือนกันหมด (One size fits all) แต่ข้อมูลจาก US CDC ที่ออกมาบ่งชี้ว่า "กลุ่มประชากร
ที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากการติดเชื้อมาก่อนหน้า" การฉีดวัคซีนดูจะไม่ก่อประโยชน์ในการช่วยป้องกันการเจ็บป่วย การเข้าโรงพยาบาลมากนัก เมื่อเทียบกับการไม่ฉีด

 

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก CDC อาจส่งผลหรือไม่ในการปรับนโยบายการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จากฉีดให้กับทุกคน เป็นฉีดให้บางกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป, กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ ) เข้าลักษณะของการแพทย์แม่นยำ (Precision medicine) ในอนาคต ก่อนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่คนทั่วไป อาจต้องมีการตรวจเลือดวัดระดับภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) กันก่อนหรือไม่ ว่าเคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาก่อนหรือเปล่า คงต้องติดตามกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้ของ US CDC เป็นในอาสาสมัคร 1.1 ล้านคน ในช่วงก่อน และระหว่างที่ "เดลตา" กำลังระบาด 

ดร. เอริกา แพน นักระบาดวิทยา คนสำคัญของศูนย์สาธารณสุข แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้กล่าวว่า ปัจจุบัน "โอมิครอน" หรือ "โอไมครอน" ได้เข้ามาแทนที่เดลตาเป็นที่เรียบร้อย และข้อมูลล่าสุดก็ชี้ให้เห็นว่า วัคซีนเข็มกระตุ้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อจาก "โอมิครอน" ลดการเจ็บป่วย และลดการเสียชีวิตจากโอมิครอนได้อย่างมีนัยสำคัญ คลิกอ่านที่นี่
 

 

ภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อ \"โควิด\" เหนือกว่าฉีดวัคซีน เสี่ยงป่วยลด